วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สุดยอด 10 เทศกาลและงานเฉลิมฉลองที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดของโลก . .

1. เทศกาลบอลลูนนานาชาติอัลบูเควียร์ก (Albuquerque International Balloon Fiesta) รัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) ประเทศสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 5-13 ตุลาคม
เทศกาลบอลลูนนานาชาติอัลบูเควียร์ก (Albuquerque International Balloon Fiesta) รัฐนิวเม็กซิโก (New Mexico) ประเทศสหรัฐอเมริกา
หมูจะบินได้จริงๆ ก็คราวนี้ ในเทศกาลที่รวบรวมบอลลูนอากาศร้อน รวมไปถึงบอลลูนรูปร่างพิเศษต่างๆ (Special Shape Rodeo) ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกมาแสดง ที่มีทั้งบอลลูนรูปร่างพิเศษต่างๆ (Special Shape Rodeo) และการปล่อยบอลลูนหมู่ (Mass Ascension) เมื่อบอลลูนนับพันๆ ลูกลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าพร้อมเสียงเพลงชาติอเมริกาที่ดังกระหึ่มขึ้น

2. เทศกาลลอยกระทง จ.สุโขทัย ประเทศไทย ประมาณเดือนพฤศจิกายน โดยปี 2556 นี้ตรงกับ 17 พ.ย.
เทศกาลลอยกระทง จ.สุโขทัย ประเทศไทย
ประเทศไทย (และบางพื้นที่ของลาวและพม่า) เฉลิมฉลอง “ขบวนแห่ลอยน้ำ” ด้วยการลอยแพที่ประดับประดาด้วยดอกไม้ และการปล่อยโคมลอยสู่ท้องฟ้า โดยมีการจุดดอกไม้ไฟและงานรื่นเริงร่วมด้วย
3. งานคาร์นิวัล (Carnival) กรุงรีโอเดจาเนโร (Rio de Janero) ประเทศบราซิล
งานคาร์นิวัล (Carnival) กรุงรีโอเดจาเนโร (Rio de Janero) ประเทศบราซิล
งานคาร์นิวัลแห่งเมืองรีโอคืองานเฉลิมฉลองที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดของโลกแล้ว จิตวิญญาณแห่งแซมบ้าอันเป็นตำนานของบราซิลสะท้อนออกมาได้เยี่ยมยอดที่สุดผ่านวงดนตรีในขบวนพาเหรดที่นำโดยมือกลองและนักร้อง โดยมีส่วนที่สำคัญที่สุดของงาน คือการแสดงของโรงเรียนสอนเต้นแซมบ้าในแซมบ้าโดรม (Sambadrome)

4. อ็อกโทเบอร์เฟสต์ (Oktoberfest) เมืองมิวนิก (Munich) ประเทศเยอรมนี ช่วงเดือนตุลาคม
อ็อกโทเบอร์เฟสต์ (Oktoberfest) เมืองมิวนิก (Munich) ประเทศเยอรมนี
ผู้ที่สนใจไปร่วมงานไม่ถึงกับต้องลุกขึ้นมาแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดเต็มยศเหมือนอย่างพวกหนุ่มๆ เหล่านี้ก็ได้ แต่ก็ถ้าอยากร่วมสนุกและเต็มที่ไปกับงาน ก็ขอเชิญแต่งตัวเท่ห์และสวยในแบบฉบับเยอรมัน แล้วมาดื่มด่ำไปกับเบียร์เยอรมันภายในงาน นอกเหนือไปจากเต๊นท์เบียร์แล้วก็ ยังมีสวนสนุกขนาดใหญ่ให้เพลินเพลินอีกด้วย

5. เทศกาลเผาหุ่น (Las Fallas) เมืองวาเลนเซีย (Valencia) ประเทศสเปน ช่วงเดือนพฤษภาคม
น่าเสียดายที่ปีนี้คุณพลาดไปเสียแล้ว แต่เชื่อไหมว่าชาววาเลนเซียเองก็อาจจะเริ่มลงมือตระเตรียม ฟาลยา (falla) หรือโมเดลขนาดใหญ่ที่ทำมาจากตุ๊กตาหรือหุ่นกระดาษ สำหรับปีหน้ากันแล้ว เพราะว่าใช้เวลาในการทำนานเป็นเดือนๆ ทั้งหมดก็เพื่อนำเข้าร่วมขบวนพาเหรดที่มุ่งสู่กองไฟกองใหญ่นั่นเอง

6. เทศกาลช้าง เมืองชัยปุระ (Jaipur) ประเทศอินเดีย ในวันที่16 มีนาคม
เทศกาลช้าง เมืองชัยปุระ (Jaipur) ประเทศอินเดีย
ช้างมีความสำคัญเสมอมาในสังคมของชาวอินเดีย เป็นการแสดงความขอบคุณต่อพระพิฆเนศวร เทพในศาสนาพราหมณ์ที่มีเศียรเป็นช้าง ผู้ซึ่งเป็นองค์สำคัญในการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และเป็นเหมือนผู้นำของเหล่าช้างทั้งหลาย

7. เทศกาลโคมไฟผิงซี (PingXi Sky Lantern Festival) กรุงไทเป (Taipei) ประเทศไต้หวัน
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์
เทศกาลโคมไฟผิงซี (PingXi Sky Lantern Festival) กรุงไทเป (Taipei) ประเทศไต้หวัน
ในขณะที่โคมไฟจีนได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของเทศกาลฤดูร้อน และในรายงานการพบยูเอฟโอในสหราชอาณาจักร พบว่าไทเปกลับมีการปล่อยโคมกว่า 150,000 ขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างต่อเนื่องเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน

8. เทศกาลอูฐเมืองพุชคาร์ (Pushkar Camel Fair) ประเทศอินเดีย ในวันที่ 6-17 พฤศจิกายน
เทศกาลอูฐเมืองพุชคาร์ (Pushkar Camel Fair) ประเทศอินเดีย
ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากพบอูฐตัวจริง คุณจะต้องอยากไป “การชุมนุมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของชนเผ่าของอินเดีย” เพราะว่าที่นี่มีอูฐกว่า 20,000 ตัวบนทะเลทรายราชาสถาน (Rajasthan dessert) และยิ่งหากคุณกำลังมองหาพาหนะที่ไม่มีทั่วไปในบ้านเรา อูฐก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าลอง
9. วันแห่งความตาย (Days of the Dead) ประเทศเม็กซิโก ในวันที่ 1-2 พฤศจิกายน
ต่อเนื่องมาจากฮัลโลวีน วันแห่งความตาย (Los Dias de los Muertos) นับว่าเป็นอีกหนึ่งเทศกาลที่ทั่วโลกรู้กันดีถึงการฉลองให้กับคนตาย “ผู้ที่ยังอยู่” เชิญดวงวิญญาณ (ญาติสนิทเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็ได้นะเออ) ให้มาเยี่ยมครอบครัว อย่างน้อยๆ ทั้งคนเป็นและคนตาย ทุกคนก็จะได้รับประทานขนมและอาหารในแบบสยองขวัญกันถ้วนหน้า



10. เทศกาลน้ำแข็งเมืองฮาร์บิน (Harbin Ice Festival) ประเทศจีน ช่วงเดือนธันวาคม - มกราคม
เทศกาลน้ำแข็งเมืองฮาร์บิน (Harbin Ice Festival) ประเทศจีน
ฮาร์บิน (Harbin) เมืองหลวงของมณฑลเหยหลงเจียง (Heilongjiang) อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศจีน เป็นเจ้าภาพจัดเทศกาลน้ำแข็งและหิมะอันเย็นยะเยือกนี้ มีจุดเด่นคือการแกะสลักน้ำแข็ง การแสดงตะเกียงน้ำแข็ง เลื่อนน้ำแข็ง เรือใบน้ำแข็ง ฮ็อกกี้น้ำแข็ง ฟุตบอลน้ำแข็ง และอื่นๆ อีกมากมายเท่าที่จะสามารถโยงไปกับน้ำแข็งได้

เพลงวันคริสต์มาส ..

     เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

ต้นฮอลลี่

ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์


ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia

ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส





วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วีซ่าเชงเก็น

วีซ่าเชงเก็นคืออะไร ?
ปัจจุบัน เขตเชงเก็นประกอบด้วยประเทศในยุโรป 26 ประเทศ ในจำนวนนี้มี 22 ประเทศที่เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป ทั้ง 26 ประเทศนี้มีนโยบายด้านวีซ่าร่วมกัน ซึ่งหมายความว่า จะไม่มีการขอตรวจวีซ่าที่ชายแดนของแต่ละประเทศ
“ประเทศเชงเก็น” ทั้ง 26 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรีย เบลเยี่ยม สาธารณรัฐเชก เดนมาร์ก เอสโตเนีย ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส เยอรมนี กรีซ ฮังการี อิตาลี ลัตเวีย ลิธัวเนีย ลักเซมเบิร์ก มอลตา เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ โปรตุเกส สโลวัก สโลวีเนีย สเปน และสวีเดน และอีกสามประเทศนอกสหภาพยุโรปได้แก่ นอร์เว ไอซ์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ และลิกเตนสไตน์
บุคคลที่ได้รับวีซ่าเชงเก็นสำหรับประเทศที่กล่าวไว้ข้างต้น จะสามารถเดินทางได้โดยเสรีไปยัง 26 ประเทศเชงเก็น โดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับประเทศดังกล่าวแต่ละประเท

วันพุธที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ความลับใน ชาเขียว.

ในหนังสือเรื่อง ไขความลับธรรมชาติสู่สุขภาพที่ดีกว่า นาดีน เทย์เลอร์ กล่าวว่า ชาวจีนรู้เรื่องประโยชน์ทางยาของชาเขียวมาเป็นเวลานานอย่างน้อย 4,000 ปีมาแล้ว โดยใช้ชาเขียวในการรักษาตั้งแต่โรคปวดศีรษะไปจนถึงโรคซึมเศร้า มีการเก็บใบชาจากป่ามาปลูก และกระจายการปลูกไปตามแนวลุ่มน้ำแยงซีเกียง ตั้งแต่มณฑลเสฉวนถึงยูนาน ต่อมาราว 1,500 ปีที่แล้ว ใบชาจากจีนคือ สินค้าส่งออกทีได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศแถบเอเชียและกระจายไปถึงยุโรป จนทำให้การดื่มชาได้รับความนิยมไปทั่วโลก สำหรับประเทศญี่ปุ่นนั้น คาดว่าได้รับอิทธิพลการดื่มชามาจากจีน ในราว ค.ศ.800 เมื่อพระที่ไปศึกษาพุทธศาสนาในจีน ได้นำใบชากลับญี่ปุ่นเพื่อไปใช้เป็นเครื่องดื่มในการบำบัดอาการต่างๆ จนกระทั่งได้รับความนิยม และมีความเชื่อว่า การดื่มชาจะทำให้มีอายุยืนยาว รักษาโรคได้มากมาย ดังที่กล่าวไว้ตอนต้นแล้วว่า ชาเขียวได้จากการทำใบชาให้แห้งที่อุณหภูมิสูงอย่างรวดเร็ว จึงทำให้ใบชาแห้งยังคงมีสีเขียวและมีคุณภาพเช่นเดียวกับใบชาสด ซึ่งเมื่อชงน้ำร้อนแล้วจะได้น้ำชาสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว ไม่มีกลิ่น มีรสฝาดว่าชาจีน นิยมแต่งกลิ่นด้วยพืชหอม เช่น มะลิ บัวหลวง เป็นต้น โดยชาเขียวจะแบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือชาเขียวแบบจีนและชาเขียวแบบญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างตรงที่ ชาเขียวแบบจีนจะคั่วด้วยกระทะร้อน แต่ชาเขียวแบบญี่ปุ่นไม่ต้องคั่ว
 เรามารู้จักองค์ประกอบและคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ทางเคมีของชาเขียว ที่สำคัญ อาทิ
-สารประกอบที่สำคัญในชาเขียวเป็นสารในกลุ่มโพลีฟีนอล (Polyphenol) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและมีสรรพคุณเป็นสารแอนติออกซิแด็นซ์ 
(Anti-Oxidant)
 หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่ทรงพลัง มีกรดอะมิโนมากกว่า 20 ชนิด วิตามินนานาชนิด เช่น
      วิตามินซี เป็นสารแอนติออกซิแดนซ์หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่มีคุณภาพสูง ช่วยลดความเครียด ต่อต้านภาวะติดเชื้อและเสริมการทำงานของระบบ
      วิตามินบีรวม ช่วยเสริมการทำงานในกระบวนการเมตาบอลิซึมของคาร์โบไฮเดรต
      วิตามินอี มีสรรพคุณเป็นสารแอนติออกซิแดนซ์และช่วยชะลอความแก่
      ฟลูออไรด์ ช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่เคลือบฟัน ป้องกันฟันผุ
      แร่ธาตุอื่นๆ ได้แก่ โซเดียม, โปแตสเซียม, แคลเซียม, แมกนีเซียมและฟอสฟอรัส และอื่นๆ
คุณสมบัติทางเภสัชวิทยา
ในชาเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีการยืนยันจากรายงานของทีมวิทยาศาสตร์จากศูนย์กลางการวิจัยโรคมะเร็ง ในบริติชโคลัมเบีย พบว่าในชาเขียวมี สารแคเทชิน พอลิฟินอล 
(
Catechin Polyphenol)” สามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งได้ นอกจากนี้ยังพบสาร เอพิกัลโลแคเทชิน กัลแลต(Epigallocatechin Gallate หรือ EGCG)เป็นสารต้านพิษและยังช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง นอกจากนี้มีการวิจัยมากมาย



ความเชื่อเรื่องตัวเลขของชาวญี่ปุ่น..


เลขมงคลที่มาจากการพ้องของภาษา
เลข 1 เป็นตัวเลขที่ไม่ค่อยมีการพูดถึง หากจะมีการพูดถึง ก็อาจแปลได้ทั้งสองอย่าง คือ เป็นกลาง ไม่เปลี่ยนแปลง แน่วแน่มั่นคง หรืออาจหมายถึงการไม่ได้พบพานกับคู่ครองก็ได้ เลขหนึ่งเป็นตัวเลขพื้นฐานในการฝึกเขียนตัวอักษรญี่ปุ่นโบราณที่เราเรียกกันว่า โชะโด เป็นตัวแทนของการมีอยู่ เมื่อเทียบกับคำว่าว่าง หรือไร้ตัวตนของ ไม่น่าจะมีการตีความหมายร้ายแรง เพราะมีการเอามาตั้งชื่อคนหลายแบบมาก
เลข 4 คำสื่อไปถึงคำว่า (ชิ:ความตาย) เป็นตัวเลขอัปมงคล เลขนี้มีผลต่อการออกแบบโรงพยาบาล เพราะที่ญี่ปุ่นโรงพยาบาลหลายแห่งไม่ออกแบบให้ ห้องผ่าตัด ห้องคลอด ห้องทำแผล อยู่ในชั้น 4 เพื่อเป็นการระวังรักษาน้ำใจคนไข้กันเลยทีเดียว
เลข 5 มักสื่อไปถึงคำว่า โกะเอ็ง การเชื่อมโยง การสื่อสัมพันธ์ การพบรัก และยังมักถูกนำมาเป็นการให้คะแนน เกรด หรือคุณภาพ ขั้นสูงสุด ในการเทียบระดับชั้นอีกด้วย 7 มักสื่อไปถึงเลขเจ็ดทางศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ ทำให้กลายเป็นเลขมงคลโดยไม่ต้องมีการเทียบคำ มีการจัดเรียงสถานที่ และสิ่งของเป็นเจ็ดสิ่งที่น่าสนใจในรูปแบบต่างๆมากมาย และเลขชุดนี้ยังถูกนำไปใช้ในโต๊ะเกม และปาจิงโกะ เป็นเลขแจ็กพ็อต เรียงเจ็ดเมื่อไหร่ เงินออกถล่มทลายเลยทีเดียว
เลข 8 มีที่มาการตีความสองชุด คือ ลักษณะการเขียนคันจิที่ปลายเปิด เป็นเลขมงคล แสดงว่าปลายทางจากเปิดกว้าง ทางสู่เงินทองจะกว้างขึ้น(เงินจะไหลมาเทมา) ส่วนอีกความเชื่อเป็นความเชื่อโบราณของญี่ปุ่นดั้งเดิมว่าเป็นตัวเลขของความบริสุทธิ์ของผู้รู้ เพราะมีขนาดมากปริ่มๆกำลังดี เราจึงมักพบชื่อสถานที่สำคัญๆทางจิตวิญญาณในธรรมชาติ และศาลเจ้าโบราณ มีชื่อที่มีเลขแปดปะปนอยู่
เลข 9 สื่อไปถึงคำว่า คุ:ความทรมาณ เป็นตัวเลขอัปมงคล บ้าน โรงแรม อพาร์ทเมนต์ และโรงพยาบาลญี่ปุ่น มักหลีกเลี่ยงการออกแบบพื้นที่ ที่มีตัวเลขเก้า เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งตรงข้ามกับจีนอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นตัวเลขเดี่ยวที่มีค่าสูงสุด จึงเป็นเลขมงคลของจีน

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ซานตาครอส

เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี


นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

ตำนานวันคริสต์มาส

 คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร

           ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย

          เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม



ต้นกำเนิดของตุ๊กตาหมี Teddy Bear.



มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเทดดี้แบร์จาก แหล่งคือ เยอรมัน และ สหรัฐอเมริกา ในเวลาที่ใกล้เคียงกัน คือประมาณปี ค.ศ 1902
เรื่องเล่าของเยอรมัน
ที่เยอรมัน ปี ค.ศ. 1902 Richard Steiff ซึ่งเป็นนักออกแบบของเล่นของโรงงานทำของเล่นของครอบครัวเขาเอง ได้เดินทางไปดูการแสดงละครสัตว์ที่อเมริกา เพื่อหาไอเดียในการออกแบบของเล่นชิ้นใหม่ และเขาก็เกิดความคิด ในการนำเอาหมีในคณะละครสัตว์มาเป็นแบบในการผลิตตุ๊กตาหมี ตุ๊กตาหมีที่เขาออกแบบจะมีข้อต่อตามจุดต่างๆ ได้แก่ คอ แขน และขา 
ทำให้เราสามารถเปลี่ยนอิริยาบทของมันได้เหมือนหมีจริง ซึ่งต่างจากตุ๊กตาหมีที่มีอยู่ในขณะนั้น
Richard Steiff ได้นำตุ๊กตาหมีที่เขาออกแบบไปแสดงในงานแสดงสินค้าที่ Leipzig ในปี ค.ศ. 1903 แต่เขาก็ต้องผิดหวัง ที่ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจตุ๊กตาหมีของเขาเลย จนกระทั่งในขณะที่เขากำลังเก็บของในวันสุดท้ายของงานแสดงสินค้า ผู้ชมงานชาวอเมริกันคนหนึ่งได้เข้ามาหยิบดูตุ๊กตาหมีของเขา และสั่งซื้อในปริมาณมาก และนี่คือต้นกำเนิดที่ทำให้ตุ๊กตาหมี
ที่เขาออกแบบแพร่หลายไปยังประเทศอื่นๆ
เรื่องเล่าของอเมริกา  
ในปี ค.ศ. 1902 ที่อเมริกา ประธานาธิบดีชื่อTheodore 'Teddy' Roosevelt ได้เดินทางไปที่ Mississippi เพื่อเจรจายุติกรณีพิพาทเกี่ยวกับอาณาเขต ในวันหนึ่งท่านได้ออกไปล่าสัตว์ หลายชั่วโมงผ่านไป ท่านก็ยังล่าสัตว์ไม่ได้สักตัวเดียว ราชองครักษ์ของท่านที่ตามไปด้วยพบลูกหมีตัวหนึ่งพลัดหลงมา จึงจับลูกหมีตัวนั้นผูกกับต้นไม้ไว้ และตามประธานาธิบดีให้มาดูเพื่อมอบให้ แต่ประธานาธิบดีกลับปล่อยลูกหมีตัวนั้นให้เป็นอิสระไป
ข่าวของประธานาธิบดีปล่อยลูกหมีเป็นอิสระดังกระฉ่อนไปทั่ว แม้แต่ Clifford Berryman ซึ่งเป็นนักเขียนการ์ตูนของหนังสือพิมพ์การเมือง ก็ยังนำเรื่องดังกล่าวไปเขียนเป็นการ์ตูนลงในหนังสือพิมพ์การเมือง และการ์ตูนนี่เองไปจุดประกายความคิดของ Morris Michtom ให้ออกแบบ และผลิตตุ๊กตาหมีที่มีข้อต่อ Morris Michtom นำตุ๊กตาหมีที่เขาออกแบบมาวางจำหน่ายที่ร้านของเขาเอง โดยตั้งโชว์ที่หน้าร้าน พร้อมภาพการ์ตูนที่เขียนโดย Clifford Berryman และป้ายแสดงข้อความว่า "Teddy' s Bear" ผลปรากฎว่า ตุ๊กตาหมีของเขาขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จากนั้นเพียงปีเดียว Morris Michtom ได้ปิดร้านของเขาและจัดตั้งบริษัท Ideal Novelty and Toy ขึ้น เพื่อรองรับธุรกิจนี้ ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งที่ติดอันดับยักษ์ใหญ่ทางด้านของเล่นของโลกในปัจจุบัน