วันพุธที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

นางเงือกและคำสาปสยอง O.o!

ในนิทานก่อนนอนที่คุ้นเคยกันอย่างเรื่องเจ้าหญิงเงือกน้อยของฮานคริสเตียนแอนเดอร์สันนางเงือก คือ สาวน้อยน่ารักที่มีท่อนล่างเป็นปลาแหวกว่ายในท้องทะเล ทว่าในอีกหลายตำนานโดยเฉพาะในแถบเอเชียเรื่องราวของนางเงือกกลับถูกกล่าวขานในรูปแบบที่ดูจะน่าหวาดกลัวกว่าซึ่งเราจะนำมาเล่าให้ฟังกันสักสองสามเรื่อง
เริ่มจากตำนานของแถบอินโดจีนซึ่งรวมทั้งไทยเราด้วยนางเงือกคือสิ่งมีชีวิตที่ลึกลับและน่าหวาดกลัวโดยเงือกในแถบนี้จะปรากฏกายในรูปของหญิงสาวที่มีใบหน้าเล็กเท่างบน้ำอ้อย (เป็นอาหารอย่างหนึ่งทำจากน้ำอ้อยที่แข็งเป็นแผ่นขนาดใหญ่กว่าฝ่ามือเล็กน้อย) ซึ่งเงือกเหล่านี้จะขึ้นมาอาบแสงจันทร์ในยามค่ำคืนโดยนางเงือกจะมีกระจกที่ทำด้วยทองคำสำหรับส่องดูหน้าของนางและในเวลาที่นางเงือกเหล่านี้ขึ้นมาส่งกระจกอาบแสงจันทร์อยู่นั้นหากมีมนุษย์มาแอบเฝ้าดูและส่งเสียงดังพวกเงือกจะตกใจกระโดดลงน้ำและมักจะทิ้งกระจกเอาไว้ทว่าหากมนุษย์ผู้ใดนำกระจกทองคำของนางเงือกไปเขาผู้นั้นจะถูกนางติดตามล่าและสุดท้ายเงือกจะฉุดมนุษย์ผู้นั้นลงไปสู่ความตายใต้ผืนน้ำ
ตำนานเรื่องนางเงือกเรื่องต่อมาเล่าขานกันในญี่ปุ่นโดยเล่ามาว่าในสมัยโบราณมีชาวประมงผู้หนึ่งอาศัยอยู่กับลูกๆชายหญิงสามคนที่ริมทะเลสาปบิวะส่วนภรรยาของเขานั้นได้สิ้นชีวิตไปนานแล้ววันหนึ่งขณะที่เขาออกไปทอดแหในทะเลสาปเขาจับนางเงือกได้ตนหนึ่งเงือกตนนั้นได้ร้องขอให้เขาปล่อยนางลงน้ำก่อนที่นางจะแห้งตายเพราะขาดน้ำทว่าชายผู้นั้นกลับไม่ไยดีต่อคำขอร้องของเงือกจนทำให้นางเงือกตนนั้นขาดใจตายหลังจากนางเงือกตายแล้วชาวประมงได้แล่เนื้อของนางหมักเกลือไว้เพื่อใช้เป็นเหยื่อปลาทว่าวันหนึ่งขณะที่เขาไม่อยู่บ้านลูกๆทั้งสามซึ่งยังเด็กอยู่ได้มาเจอถังหมักเนื้อเงือกเข้าพวกเด็กๆได้กินเนื้อในถังจนหมดและจากนั้นก็เกิดเกล็ดปลาขึ้นตามตัวอย่างรวดเร็วขณะที่ขาทั้งสองก็กลายสภาพเป็นครีบพวกเด็กๆเจ็บปวดและกระหายน้ำอย่างรุนแรงไม่ผิดกับเงือกที่พ่อของพวกเขาจับมาจนกระทั่งเมื่อชาวประมงผู้เป็นพ่อกลับมาในตอนเย็นก็พบว่าลูกๆทั้งสามได้แห้งตายแล้วชาวประมงเศร้าเสียใจที่ความโง่และความโลภของตนได้ทำให้ลูก ๆ ต้องพบจุดจบจากนั้นด้วยความสำนึกในบาปที่ก่อเขาจึงออกบวชเพื่ออุทิศบุญให้ลูกๆทั้งสามและนางเงือกที่ตายเพราะเขา
เรื่องสุดท้ายเป็นเรื่องเล่าของจีนโดยเล่ากันว่าในสมัยโบราณมีแม่ทัพผู้หนึ่งชื่อซ่งหยูเป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้ทวนอย่างหาผู้เทียบไม่ได้คืนหนึ่งขณะที่นอนหลับซ่งหยูฝันว่ามีนางเงือกตนหนึ่งมาขอร้องว่าเมื่อเขาออกไปตกปลาในวันรุ่งขึ้นลูกของนางจะว่ายน้ำผ่านเรือไปนางเงือกบอกกับแม่ทัพว่าขอให้เขาอย่าได้ทำร้ายลูกของนาง วันรุ่งขึ้นเมื่อแม่ทัพซ่งไปตกปลาก็ได้พบกับลูกเงือกตนหนึ่งว่ายน้ำผ่านเรือไปทว่าเขากลับลืมคำขอร้องของแม่เงือกในฝันเนื่องจากเกิดความโลภที่จะจับลูกเงือกนั้นซ่งหยูจึงใช้ทวนพุ่งใส่เงือกจนจมหายไปแม่ทัพซ่งสั่งให้คนออกงมหาร่างของลูกเงือกแต่ไม่พบจากนั้นไม่นานเขาก็ลืมเรื่องนี้ไป
วันหนี่งมีน้ำท่วมสูงจนปริ่มริมท่าน้ำหน้าบ้านแม่ทัพซ่งได้พาบุตรชายวัยห้าขวบไปยืนดูกระแสน้ำที่ริมท่าหน้าบ้านขณะที่เขาและลูกกำลังดูสายน้ำที่ไหลผ่านไปอยู่นั้นเองทวนเล่มหนึ่งก็พุ่งมาเสียบร่างเด็กชายล้มลงสิ้นใจต่อหน้าผู้เป็นพ่อทันทีแม่ทัพซ่งทรุดลงพลางคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าเสียใจและเมื่อเขาได้เห็นทวนลึกลับที่สังหารบุตรชายของเขาอย่างชัดเจนแล้วแม่ทัพซ่งก็ถึงกับตกตะลึงเพราะทวนเล่มนั้นก็คือทวนเล่มเดียวกันกับที่ปลิดชีวิตลูกเงือกนั่นเอง

ทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิตได้

เชื่อหรือไม่ว่า โอกาสที่ใครคนหนึ่งจะเกิดเป็นโรคจิตได้ มี 1 ใน 100
ถ้าเป็นสำนวนโบราณ ใครเป็นหนึ่งในร้อยถือว่าหายาก
ก็คนสมัยก่อนมีน้อย กว่าจะหาคนได้ครบร้อยก็ยากเต็มที
แต่ถ้าคิดว่า นักเรียน 2 ห้อง ( ถ้าเป็นโรงเรียนดังๆที่ขี่คอกันเรียน ก็แค่ห้องกว่าๆ ) โตขึ้น จะมีคนป่วยเป็นโรคจิตนี้ซัก 1 คน คนงานบริษัทโรงงานที่คุณอยู่ 2000 มีเป็นราว 20 คน ถ้ามีคนเฉลี่ยครอบครัวละห้าคน นับไป 20 หลังคาเรือน ก็เจอคนป่วยหนึ่งคน หรือเมืองไทย จะมีคนป่วยราว 600000 คน ตอนนี้ เริ่มรู้สึกน่าเป็นห่วงไหมครับ
ที่ทำให้น่าคิดเพิ่มขึ้นไปอีกก็คือ อายุที่คนเหล่านี้เริ่มป่วย มักเป็นวัยรุ่นตอนปลาย อายุราวๆ 17-18 ถึง 20 ต้นๆ ถ้าเป็นนักเรียนก็เป็นมัธยมปลาย ปวช. ปีท้ายๆ จนถึงเรียนมหาวิทยาลัยปี 1 ปี 2 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นวัยที่กำลังสวยงาม เต็มไปด้วยอุดมการณ์ความฝันที่จะออกมาประกอบอาชีพ หรือทำประโยชน์แก่ครอบครัวและสังคม แต่ต้องกลับมาป่วยด้วยโรคที่ค่อนข้างรุนแรงและเรื้อรัง แม้จะไม่ได้ทำให้ล้มตายไปก็ตาม
ชวนให้คิดว่า ทำไมคนเราถึงเป็นโรคจิตได้น้า ?
ตอบแบบกำปั้นทุบดินทันทีว่า ไม่รู้ครับ ถ้าใครรู้คงได้รางวัล Nobel
ตอบดีหน่อยๆจะเป็นว่า โรคจิตหรือโรคจิตเภทมีสาเหตุหลายๆอย่างมาประกอบกัน ไม่อาจตอบเป็นคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวแบบโจทย์คณิตศาสตร์ อย่างที่เราชอบเค้นหาให้ได้ว่า เพราะอย่างนั้นอย่างนี้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ละคนก็มีอาการต่างๆกันไป ทำให้ตอบให้แน่ชัดได้ลำบาก
จะขอเริ่มเล่าแบบนี้ครับ
ตั้งแต่เกิดมา เด็กทุกคนย่อมรับส่วนต่างๆของพ่อแม่ปนกันมา ทางกรรมพันธุ์ ซึ่งแน่นอน กรรมพันธุ์ของพ่อแม่เองก็รับมาจากเทือกเถาเหล่าเครือญาติอื่นมาเป็นทอดๆ สิ่งที่ถ่ายเทลงมามีทุกอย่างทั้งความปราดเปรื่อง ความสูงต่ำดำขาว เหมือนสมัยเราเรียนตอนเด็กเรื่องถั่วต้นสูงผสมต้นเตี้ย
โรคหลายโรครวมทั้งโรคจิตก็เฮลงมาด้วย แม้พ่อแม่อาจไม่มีอาการ แต่ก็เป็นคนส่งต่อได้
เด็กที่รับกรรมพันธุ์โรคจิตมา ก็ถือว่าเสี่ยงจะเป็นโรคมากกว่าใครทั่วไป
ยกตัวอย่างความแรงของพันธุกรรมให้ฟัง ถ้าพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้หนึ่งคน ลูกเกิดมาจะเสี่ยงที่จะเป็นโรคนี้กว่าคนทั่วไปราว 12 เท่า
ถ้าทั้งพ่อทั้งแม่เป็นแล้วมามีลูกด้วยกัน เสี่ยงขึ้น 40 เท่า
ถ้าเด็กแฝดเหมือนคนหนึ่งเกิดป่วยด้วยโรคจิต แฝดอีกคนมีโอกาสครึ่งต่อครึ่ง
ถึงเด็กที่เกิดจากพ่อหรือแม่ที่ป่วยไปให้คนอื่นเลี้ยง โอกาสป่วยก็เป็น 12 เท่าอยู่ดี
ตรงนี้แสดงว่า โรคนี้เกิดจากพันธุกรรมเป็นหลัก หาใช่ความผิดที่พ่อแม่เลี้ยงลูกมาไม่ดีไม่ต้องขอเน้น เนื่องจากพ่อแม่บางส่วนจะรู้สึกผิดว่าตนเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดีอย่างมาก คนทั่วไปชาวบ้านก็มักเข้าใจอย่างนี้ เอาพ่อแม่ไปนินทาว่า เลี้ยงลูกอย่างนี้ ลูกถึงได้ป่วย เลยพลอยอับอายหลบซ่อน ไม่กล้าพาลูกไปรักษา ( แต่ก็ไม่ได้แปลว่า เลี้ยงยังไงก็ได้นะครับ เพราะถึงไม่เป็นโรคจิต ถ้าเลี้ยงไม่ดี เด็กก็มีโอกาสเป็นโรคทางจิตเวชอื่นอีกตั้งเยอะ )
อย่าไรก็ตาม ท่าทางปฏิบัติของพ่อแม่และคนในครอบครัวต่อผู้ป่วยโรคนี้ จะมีส่วนอย่างมากต่อการกำเริบของโรค หากเว้นการแสดงอารมณ์ที่รุนแรง หรือวิพากษ์วิจารณ์ใส่กัน แบบตัวอิจฉา กับนางเอกละครไทยปะทะกันหลังข่าวลง
ย้อนกลับมาเข้าเรื่องอีกที ว่าเจ้าพันธุกรรมไปทำอะไรกับคนที่โชคร้ายเหล่านี้จนป่วยขึ้นมา
อย่างที่ทราบกันคือ พันธุกรรมมีส่วนกับการพัฒนาของอวัยวะทุกส่วน รวมถึงสมองอันเป็นส่วนที่เกิดโรคในโรคจิตขึ้น เชื่อว่า อาจทำให้เซลล์สมองตอนกำลังโตเรียงตัวกันไม่ถูกชั้นถูกแนวนัก โดยถ้านำคนไข้บางคนมา X-ray สมอง พบว่า บางรายมีขนาดของบางส่วนของสมองต่างไปจากจากขนาดเฉลี่ยของคนทั่วไปบ้าง แต่ก็ไม่ใช่มากมาย หรือกลายเป็นก้อนในสมองแต่อย่างใด
ผลที่สำคัญกว่าของการมีพัฒนาของเซลล์สมองที่มีหลายพันล้านตัวพวกนี้ผิดปกติ ก็คือ ทำให้เซลล์เหล่านี้ “ คุย” กัน ( แม้จะอยู่กันคนละพรรคคนละขั้ว ) ไม่สะดวกหรือถูกต้องเท่าเดิม คล้ายคุณภาพโทรศัพท์มือถือของไทยตอนนี้
ปกติวิธีการคุยกันของเซลล์สมองก็คือปล่อยสารเคมีชนิดต่างๆมาเป็นภาษาสื่อกัน พันธุกรรมของโรคนี้จะทำให้เกิดความบกพร่องในสารเคมีหลายภาษา โดยเฉพาะที่ชื่อ โดปามีน ( dopamine ) และ ซีโรโทนิน (serotonin) ซึ่งจะเสียสมดุลย์ไป จนเกิดมีอาการของโรคในแง่ที่มีความคิดที่ไม่สมเหตุผล แปลกๆ จนกระทั่งเกิดหูแว่วประสาทหลอน หรือเหม่อลอย เฉยเมย ขึ้นในที่สุด
หลายคนคงนึกถึงยาบ้า หรือ amphetamine ว่า อ๋อ มิน่าเล่า กินยาบ้าถึงได้บ้าได้สมใจ ก็เพราะ amphetamine จะไปทำให้สารเคมีกลุ่มที่เล่าแล้วเสียสมดุลย์ไปได้เหมือนกัน
นอกจากนี้ คนแก่ที่มีสมองเสื่อม คนที่มีโรคทางสมอง เช่น ลมชัก หรือสมองเคยได้รับการกระทบกระเทือน เป็นโรคสมองอักเสบ เป็นโรคตับโรคไตที่มีของเสียค้างในตัวมาก จนขึ้นไปรบกวนการทำงานของสมอง ซึ่งหมายถึงระบบภาษาสารเคมีนั้นๆ ก็เกิดอาการเหมือนโรคจิตได้
มาถึงตรงนี้ คงเข้าใจมากขึ้นว่า หากเกิดเป็นโรคนี้ เราก็ต้องหาทางทำให้ระดับสารเคมีสื่อสารเหล่านี้กลับสู่สมดุลย์อีกครั้ง ซึ่งพระเอกในที่นี้ ก็ได้แก่ยารักษาโรคจิต ที่มีทั้งชนิดกินและฉีด และเดี๋ยวนี้ มีการพัฒนาประสิทธิภาพการรักษาไปอย่างมาก ในขณะที่ผลข้างเคียงเดิมๆ เช่น ง่วงนอน ลดลงไปมาก
อยากทำความเข้าใจสักนิดว่า การรักษาโรคนี้ ซึ่งได้แก่การรักษาสมอง เป็นเรื่องที่อาศัยเวลา ( ขนาดดารายังบอกเลยว่า รักษาผมแตกปลายไม่ใช่แค่วันสองวันหาย แต่ต้อง 14 วัน ) อย่างน้อย 6 ถึง 12 สัปดาห์ในการทำให้อาการสงบ และต้องกินยาต่อไปอีกหนึ่งปี เพื่อไม่ให้การเป็นซ้ำ ซึ่งมีโอกาสสูงมาก เกิดขึ้นอีก เรายังพบด้วยว่า คนที่หยุดยาเอง พอเป็นซ้ำมักอาการรุนแรง และรักษายากกว่าตอนเป็นครั้งแรกมาก

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับน้ำหอม..

การเลือกซื้อน้ำหอม
          ในการเลือกซื้อและเลือกใช้นํ้าหอมได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับบุคลิกภาพของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญ และสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดก็คือ ทำอย่างไรคุณถึงจะได้นํ้าหอมที่ไม่ใช่ของปลอมมาใช้ หรือพูดง่ายๆ ก็คือไม่ถูกคนหลอกนั่นเอง สิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถือได้ว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งเลยทีเดียว ในการที่เราจะ เลือกนํ้าหอมได้ถูกต้องนั้น เราก็ต้องทำความรู้จักกับนํ้าหอมกันก่อน
ส่วนประกอบของน้ำหอม
          นํ้าหอมนั้นเป็นผลของส่วนผสมหลัก 2 อย่าง นั่นก็คือ นํ้ามันหอม (Fragrance Oils) ที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วยแอลกอฮอล์ (Alcohol) ระดับความเข้มข้นของความหอมที่ถูกทำให้เจือจางลงด้วยแอลกอฮอล์ ซึ่งระดับความเข้มข้นนี้จะมีระดับความเข้มข้นที่ต่างกันไป เราจึงแบ่งนํ้าหอมออกเป็น 3 ชนิดหลักๆ ตามระดับความเข้มข้นของกลิ่นหอมได้ดังนี้
          1.Eau de Perfume คือ นํ้าหอม ที่มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ในสัดส่วนที่ 15-18 %
          2.Eau de Toilette คือ นํ้าหอม ที่มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ในสัดส่วนที่ 4-8 %
          3.Eau de Cologne คือ นํ้าหอม ที่มีส่วนผสมของนํ้ามันหอม ในสัดส่วนที่ 3-5 %
          นํ้าหอมที่วางขายตามท้องตลาดส่วนใหญ่นั้น จะเป็น Eau de Perfume และ Eau de Toilette แต่ที่นิยมใช้กันนั้นจะเป็น Eau de Toilette เสียมากกว่า ซึ่งความหอมระดับนี้ จะมาเป็นส่วนประกอบในสินค้าอื่นๆ นอกจาก นํ้าหอมด้วย เช่น โลชั่นทาผิว, สบู่, โฟมอาบนํ้า และอีกมากมาย
ซื้อน้ำหอมที่ไหนดี
          มีคำถามอยู่คำถามหนึ่งที่ยากที่จะตอบมากนั่นก็คือ คำถามที่ว่า เราจะหาซื้อนํ้าหอมจากที่ไหนถึงจะดีที่สุด? ซึ่งในปัจจุบันนี้คุณสามารถหาซื้อนํ้าหอมได้จากหลายแห่งด้วยกัน หรือแม้แต่จะสั่งซื้อผ่านทาง Internet คุณก็สามารถเลือก Shopping นํ้าหอมที่คุณชอบได้ แต่เหนือสิ่งอื่นใดสิ่งที่คุณควรคำนึงถึงเสมอในการเลือกซื้อนํ้าหอมก็คือ คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่า นํ้าหอมที่คุณซื้อมานั้นคือ "ของจริง" ไม่ใช่ของที่ทำเลียนแบบ หรือ "ของปลอม" นั่นเอง
การเลือกซื้อน้ำหอม
          ผู้เชี่ยวชาญทางด้านนํ้าหอมบอกว่า เป็นการยากมากกับการที่เขาจะแนะนำ นํ้าหอมให้กับใครคนใดคนหนึ่ง เพราะแต่ละคนก็จะมี Style และรสนิยมที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งถือได้ว่ามันเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากเลยก็ว่าได้
          - เวลาที่คุณไปเลือกซื้อนํ้าหอมนั้น ก่อนการเลือกซื้อถ้าเป็นไปได้ เราไม่ควรที่จะรับประทานอาหารที่มีรสจัด, ไม่ควรออกกำลังกายที่ทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อยมากจนเกินไป ซึ่งสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ จะส่งผลต่อการรับรู้ ทำให้เรารับรู้กลิ่นนํ้าหอมได้ผิดเพี้ยนไป
          - นอกจากนี้ เรายังไม่ควรไปเลือกซื้อนํ้าหอมในช่วงที่เราเพิ่งจะฟื้นจากอาการเจ็บป่วยหรือไม่สบาย หรือเพิ่งสูบบุหรี่เสร็จ เพราะการกระทำเช่นนี้ก็จะมีผลต่อการรับรู้กลิ่น ทำให้กลิ่นนํ้าหอมที่เราสัมผัสผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริงด้วยเช่นกัน
          - ในส่วนของเวลาที่เราทดลองนํ้าหอมที่เราไปเลือกซื้อนั้น จุดที่ดีที่สุดของร่างกายที่เราทดลองฉีดนํ้าหอมนั้น ก็คือตรงบริเวณ "ข้อมือ" นั่นเอง
          - ในกรณีที่เราทดลองนํ้าหอมมากกว่าหนึ่งกลิ่น เราก็ควรใช้ข้อมืออีกข้างหนึ่ง และถ้าเราทดลองนํ้าหอมมากกว่า 2 กลิ่นนั้น บริเวณที่เราควรฉีดนํ้าหอมลงไปก็คือ บริเวณแขนที่ไล่จากข้อมือของเราขึ้นไปเรื่อยๆ นั่นเอง
          - เมื่อเราฉีดนํ้าหอมไปในบริเวณที่เราแนะนำไปแล้วนั้น เราไม่ควรที่จะตัดสินใจเลือกซื้อนํ้าหอมจากกลิ่นที่เราได้สัมผัส ณ เวลานั้นทันที เราควรทิ้งไว้อย่างน้อยที่สุดประมาณ 20 นาที ถ้าเป็นไปได้ควรจะประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วจึงตัดสินใจ เลือกซื้อ แต่ในปัจจุบันนํ้าหอมแต่ละยี่ห้อนั้นได้ทำ Blotting paper ให้เราได้ทดลองกลิ่นนํ้าหอม แต่วิธีนี้ดีสำหรับการรับรู้กลิ่นในสัมผัสแรก และดีสำหรับการทดลองกลิ่นนํ้าหอมหลาย ๆ กลิ่นในเวลาเดียวกัน แต่วิธีนี้จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้ดีเท่ากับการที่คุณทดลองนํ้าหอมด้วยผิวหนังของคุณเอง
วิธีการใช้น้ำหอม
วิธีการใช้นํ้าหอมนั้นเราควรจะฉีดนํ้าหอมในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายดังนี้
          - เพื่อให้นํ้าหอมได้ทำหน้าที่ในการส่งกลิ่นหอมให้ได้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เราควรฉีดนํ้าหอมตรงชีพจร, ข้อมือ, กระดูกไหปลาร้า, สะดือ, หรือแม้แต่บริเวณข้อพับขาของเราเอง
          - เราไม่ควรฉีดนํ้าหอมตรงบริเวณด้านหลังใบหู เพราะตรงบริเวณนี้กลิ่นนํ้าหอมและแอลกอฮอล์จะระเหยไปอย่างรวดเร็วนั่นเอง
          - บางคนก็จะฉีดนํ้าหอมหลังจากเราอาบนํ้าเสร็จใหม่ ๆ ในขณะที่ผิวกำลังมีความชื้นอยู่ ซึ่งวิธีนี้ก็จะทำให้ กลิ่นนํ้าหอมนั้นติดทนนานมากยิ่งขึ้น
          - ในบางคนก็แนะนำให้ใส่นํ้าหอมลงไปผสมในนํ้าสุดท้ายที่เราใช้ซักชุดชั้นใน เพื่อที่จะให้กลิ่นนํ้าหอมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเราเลยทีเดียว
การเก็บรักษาน้ำหอม
          ในเรื่องของการเก็บรักษานํ้าหอมนั้น เราควรรับรู้ไว้ว่านํ้าหอมจะ ได้รับผลและเกิดปฏิกิริยาโดยตรงกับอากาศ, ความร้อน, แสง ดังนั้น เราควรที่จะเก็บขวดนํ้าหอม ไว้ในสถานที่ที่มีความเย็น มืด ซึ่งการเก็บนํ้าหอมตามวิธีนี้นั้น คุณจะสามารถเก็บรักษานํ้าหอมของคุณ ได้นานถึง 20 ปีเลยทีเดียว โดยที่กลิ่นของนํ้าหอมก็จะไม่เปลี่ยนไป ถ้าคุณเก็บนํ้าหอมไม่ถูกวิธี นํ้าหอมของคุณก็จะเสื่อมลง และก็จะกายเป็นกรดไปในที่สุด
ความรู้เรื่องกลิ่นหอม-หอม
          หากดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ น้ำหอมก็เปรียบเสมือนหน้าต่างของอารมณ์ในช่วงนั้น การประพรมน้ำหอม จะทำให้รู้สึกสวยขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น เรามารู้จักกับการเลือกน้ำหอมให้เข้ากับบุคลิกเรากันดีกว่า
กลิ่นของน้ำหอม
          1. กลิ่นหอมละมุน จากดอกไม้ เช่น กุหลาบ ลิลลี่ (Lily), ป๊อปปี๊ (Poppy), มะลิ (Jasmin)
          2. กลิ่นหอมสดชื่น จากพืชตระกูลมะนาว (Lemon) และส้ม (Orange)
          3. หอมอบอุ่น จากกลิ่นไม้หอม เช่น ไม้จันทน์ไม้ซีดาร์ (Cedarwood)
เลือกน้ำหอม บ่งบอกบุคลิก กับคนใกล้ชิด
น้ำหอมสำหรับสาวหวาน 
          น้ำหอมกลิ่นหอมละมุน เช่น Tresor จากลังโคม กลิ่นหอมสดชื่น สำหรับวัยสดใสอย่างAnais Anais จากกาชาแรล หรือกลิ่นหอมกรุ่นนุ่มนวล อย่าง Pleasures จากเอสเต้ ลอเดอร์
น้ำหอมสำหรับสาวเซ็กซี่
          Poison, Dune ของคริสเตียน ดิออร์ Rush จากกุชชี่ Opium ของอีฟส์ แซงต์ โลร็องต์ หรือJean Paul Gaultier จาก ฌอง ปอล โกล์ติเยร์
น้ำหอมสำหรับสาวสดใส 
          กลิ่นหอมสดใสจากมะนาวและมินต์ อย่างEau de Guerlain ของเกอร์แลง กลิ่นหอมสดชื่นด้วยมวลหมู่พฤกษา ของAromatics Elixerจากคลีนิกข์
น้ำหอมสำหรับสาวนักกีฬา
          ควรให้ความรู้สึกสดชื่น เบาสบาย เช่น Escada Sport, Tommy Girl, Polo Sport for women
AROMATHERAPY
กลิ่น มีผล
Bergamot เบาสบาย, สดชื่น, อ่อนหวาน ทำให้คลายความกดดัน, คลายความร้อนรุ่ม
Black Spruce เปิดรับไม่ปิดกลั้น, ปลอบประโลม, อบอุ่น, ระงับโทสะ, เบิกบาน, เรียบๆ, ทำให้เรารับรู้ถึงความสามารถในการเผชิญปัญหาต่างๆได้ดี
Cedarwood สงบ, มั่นคง, กลมกลืน, สบายๆ, ให้พลังในการต่อสู้กับปัญหาต่างๆ, ให้มีความสุขุมและยืดหยุ่นต่อสภาพ
Chamomile ใจเย็น, ทะนุถนอม, ปลอบประโลม, เงียบสงบ, มั่นคง, ผ่อนคลายประสาทจากความกดดันและความเครียด, กำจัดความผิดหวัง, ความขุ่นเคือง, ความหงุดหงิด
Clary Sage ผ่อนคลาย, เย็นลง, กระชุมกระชวย, อิ่มเอิบ, จับใจ, ทำให้เกิดพลังงานทางกายและใจ ทำให้เกิดความมั่นใจและสุขุม ช่วยให้สร้างงานสร้างสรรค์ได้ดีขึ้น
Coriander เป็นยาโป๊, สบาย, เกิดความปิติ, อบอุ่น, ทำเกิดความรู้ที่ปลอดภัยและสงบเงียบ
Cypress ทำให้รู้สึกสบายเหมือนมีคนคอยปกป้องและบริสุทธิ์, เป็นระเบียบ, สดชื่น, พร้อมที่จะรับมือปัญหาใหม่ๆได้
Fir อบอุ่น, เปิดโลง, สบายๆ; ปลอดปล่อยความกังวลและความเครียด, กระจายความสุขและความสมหวัง
Ginger กระตุ้น, อบอุ่น, สบายๆ; เหมาะสำหรับคนที่ไม่ค่อยมีความมั่นใจ หรือคนที่ชอบพัดวันประกันพรุ่ง ทำให้กระตือรือร้นต่อสิ่งต่างๆรอบตัว
Grape Fruit สะอาด, สดใส, เย็น, กระชุมกระชวย, บริสุทธิ์
Jasmine กระตุ้น, ปกป้องความรู้สึกที่ตกต่ำ, ระงับความกระวนกระวาย, ทำให้เกิดความหลงใหล, รู้สึกสบายแบบลึกๆ, ช่วยแก้ปัญหาเรื่องเพศ, เป็นตัวขับความเพลิดเพลินและการรับได้ดี
Lavender ป้องกันความกดดัน, ระงับโทสะ, ให้มั่นคงและเท่าเทียม, สงบ, บริสุทธิ์, สบายๆ
Mandarin ให้ความรู้สึกสบาย, สดใส, สงบและร่มเย็น, เหมือนมีอะไรมาปลอบประโลมใจให้เบิกบานใจ, ปัดเป่าความรู้สึกท้อแท้, กดดัน
Peppermint กระตุ้นความรู้สึกและประสาทการรับรู้ต่างๆให้สดชื่น, ให้มีความตั้งมั่น
Rose ปลดปล่อยความกดดัน, ให้ความสงบ, กระตุ้นความรู้สึก ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย เสริมพลังให้กับความมั่นใจ
Rosemary เสริมสร้างความมั่นใจและการเข้าใจสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์ ให้จิตใจและร่างกายเท่าเทียมกันเพื่อป้องกันผันร้ายและความคิดในแง่ลบ เหมาะสำหรับผู้ที่มีความตึงเครียดทางด้านประสาท
Sandal wood ให้ความรู้สึกที่ร่มเย็นและสบายๆ, สดชื่นและบริสุทธิ์, ช่วยในการรักษาการฝึกจิต ช่วยสร้างสรรค์ความคิด ลบความกลัวที่เราเผชิญมาในชีวิต
Vanilla กระตุ้นความรู้สึก, ให้ความอบอุ่น ความปลอดภัย, ให้ระบบประสาทมีความมั่นคงและพร้อมที่จะเผชิญปัญหาต่างๆ ให้ความสบาย ลดความตึงเครียดและอาการหงุดหงิด

ความหมายของขวัญ♥~

ความหมายของขวัญ

    ของขวัญปีใหม่แต่ละอย่าง มีความหมายต่างกัน ลองมาดูกันค่ะ
      "รู้มั้ยว่า ของขวัญแต่ละอย่างก็มีความหมายในตัวของมัน ของขวัญที่คุณได้รับหรือให้กับใครไป บอกอะไรได้บ้าง"
ของขวัญปีใหม่ ประเภท ดนตรี ไม่ว่าจะเป็นเทปเพลง แผ่น CD เครื่องดนตรีทั้งหลาย มีความหมายถึง จิตใจที่อยากจะส่งมาให้ 
          ถ้าคุณเป็นผู้ให้ แปลว่า คุณอยากจะให้ผู้รับรู้ถึงความรู้สึกในจิตใจ ที่ไม่อาจบอกได้ แต่เป็นความรู้สึกที่แสนดี และคุณก็เป็นคนโรแมนติก หวานแหว๋วไม่ใช่เล่น แถมขี้อายเล็ก ๆ ด้วย 
          ถ้าคุณเป็นผู้รับ ถ้าดนตรีหรือ เทปเพลงที่ส่งมาเป็นเพลงรัก คุณกำลังถูกบอกรักแล้วล่ะ ผู้ให้เป็นคนน่ารัก อบอุ่น เซ็นซิทีฟ อ่อนโยน ช่างฝัน และกำลังรอคำตอบอยู่ด้วยล่ะ...ตัว 
ของขวัญปีใหม่ ประเภท กล้องถ่ายรูป - ภาพถ่าย หมายของกล้องถ่ายรูป หรือภาพถ่าย รวมทั้ง Postcard ด้วย บอกถึงความรู้สึกที่ห่างกัน

          ถ้าคุณเป็นผู้ให้ หากคุณส่งภาพถ่าย หรือเอาใส่กรอบให้ใคร คุณอยากจะให้เขาคิดถึงคุณเสมอ กลัวว่าเขาจะลืมคุณ แม้กระทั่งกล้องถ่ายรูป ก็อยากให้ถ่ายรูปส่งมาให้กัน บ้างนั่นแหละ มีอาการน้อยใจเล็ก ๆ ด้วย นอกจากนี้ยังมีสิ่งที่บอกได้ว่า คนที่ให้เป็นคนที่ชอบเดินทางท่องเที่ยว รักการผจญภัย กล้าเสี่ยง และมีอารมณ์ขัน ไม่อยู่ในระเบียบ ไม่อยู่ในก?เกณฑ์ รักอิสระเหนือสิ่งใด 
          ถ้าคุณเป็นผู้รับ ความหมายคล้าย ๆ กัน ถ้าคุณได้รับของขวัญ เป็นกล้อง ภาพถ่าย ผู้ให้อยากจะบอกว่าคิดถึงมาก อยากมาอยู่ใกล้ชิด คล้ายๆ กับภาพแทนใจทำนองนั้น หรือกำลังบอกว่า คุณเข้าถึงยาก อยากให้ เปิดใจให้มากกว่านี้หน่อยก็ได้

ของขวัญปีใหม่ ประเภท เสื้อผ้า ไม่ว่าเป็นเสื้อผ้า กระโปรง กางเกง แสดงให้รู้ถึงความรู้สึกแสนพิเศษที่ลึกลงไปอีกหน่อย 
          ถ้าคุณเป็นผู้ให้ คุณต้องการจะดูแล และห่วงใยคนที่คุณให้ ด้วยความรู้สึกที่ไม่ธรรมดา อยากให้คนรับรู้ว่า คุณมีความรู้สึก ที่ลึกซึ้งเอามาก ๆ ทีเดียวนะ นอกจากนี้ คนที่ให้เสื้อผ้ายังเป็นคนทันสมัย ตามโลก คล่องแคล่ว และสะอาดรักสวยรักงาม อีกด้วย
          ถ้าคุณเป็นผู้รับ คนให้เขาอยากให้รู้ว่า มีความรักความห่วงใยอย่างล้นเหลือให้ และยังแสดงให้รู้ว่าต้องการจับจองเป็นเจ้าของหัวใจด้วย ถ้าเป็นชุดชั้นในหรือ ชุดนอนล่ะก็ แปลว่า นอกจากรัก และห่วงใยแล้ว ยังอยากเป็นเจ้าของทั้งตัวทั้งหัวใจเลย

ของขวัญปีใหม่ ประเภท ต้นไม้ การมอบต้นไม้น่ะ สื่อความหมายว่า อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณและเขามั่นคง แตกหน่อเติบโตต่อไป 
          ถ้าคุณเป็นผู้ให้ บอกได้ว่าคุณเป็น คนสุภาพ อ่อนโยน ติดดิน และรักธรรมชาติ คุณอยากจะเป็นคนดูแล และชอบเอาอก เอาใจ คุณเป็นคนอ่อนหวาน ช่างฝัน โรแมนติก เรียบร้อย และคุณอยากจะบอกว่า ความรู้สึกของคุณนั้น จริงจังและทุ่มเทมาก ด้วยนะ 
          ถ้าคุณเป็นผู้รับ คนให้มีความรู้สึก ที่จริงใจ และมั่นคงและอยากให้ ความสัมพันธ์เจริญเติบโต งอกงามเหมือนต้นไม้ นอกจากจะห่วงใยอาทรแล้ว ยังพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ ได้อีกด้วย บอกถึงนิสัย ผู้ให้ว่าเป็นคนจริงจัง หัวโบราณ แต่ก็มั่นคง อบอุ่น และน่ารัก แม้จะจืดไปบ้างเล็ก ๆ
ของขวัญปีใหม่ ประเภท ตุ๊กตา ของขวัญยอดฮิต ไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาอะไร มีความหมาย ถ้าความรักใคร่ที่ปนมากับความเอ็นดู และอบอุ่นอ่อนโยน 
          ถ้าคุณเป็นผู้ให้ บอกได้ว่าคุณเป็น คนที่มองโลกในแง่ดี ขี้อ้อนเล็กๆ ใจดี มีเมตตา น้ำใจดี อ่อนโยน และอ่อนหวาน คุณชอบเล่นบทแม่ที่ดูแลลูก ช่างฝันและ อ่อนไหว ตุ๊กตาที่คุณให้บอกให้รู้ว่า คุณอยากให้ความสัมพันธ์นี้ดีไปตลอด จะทะนุถนอมความรู้สึกของผู้รับเสมอ
          ถ้าคุณเป็นผู้รับ คุณคงรู้แล้วสินะว่า มีคนเขารัก และห่วงใยคุณขนาดไหน ยามใดที่คุณมีทุกข์ ผู้ให้ก็พร้อมจะมาดูแลคุณ ปลอบโยนคุณเสมอ

ของขวัญปีใหม่ ประเภท ดอกไม้ เป็นความรู้สึก ที่หวานซึ้ง และร้อนแรง ต่างกับต้นไม้ตรงที่สวยอยู่ ได้ไม่นาน ก็ร่วงโรย มักจะบอกถึงอารมณ์ที่วูบไหว แบบสายฟ้าฟาดทำนองนั้น 
          คุณเป็นผู้ให้ คุณเป็นคนที่ชอบเรื่องรักใคร่ โรแมนติกอารมณ์วูบไหวง่าย อาจตกหลุมรักง่าย และหน่ายเร็ว ขยันและแอ็คทีฟ รสนิยมดี เข้าสังคมเก่ง ใจร้อน ดอกไม้ที่ให้ความหมายถึง ความรู้สึกที่ว่า รักร้อยเปอร์เซนต์ไม่มีตกหล่น เป็นความรู้สึกดี ๆ ที่มีอย่างเต็มล้น
          ถ้าคุณเป็นผู้รับ ผู้ให้กำลังจะบอกว่า เขามีความรู้สึกดี ๆ ที่จะให้เต็มปรี่ สุดแล้วแต่ ผู้รับจะคิดยังไงก็ได้ ไม่หวังจะได้สิ่งตอบแทน คุณเป็นคนพิเศษสำหรับผู้ให้เสมอ

Génération Goldman Vol.2 - La vie par procuration (Leslie & Pauline) [CLIP OFFICIEL]


Levée sans réveil, avec le soleil
Sans bruit, sans angoisse, la journée se passe.
Repasser, poussière, y'a toujours à faire
Repas solitaires en point de repère.
La maison si nette, qu'elle en est suspecte
Comme tous ces endroits où l'on ne vit pas.
Les êtres ont cédé, perdu la bagarre.
Les choses ont gagné, c'est leur territoire.
Le temps qui nous casse ne la change pas.
Les vivants se fanent, mais les ombres pas.
Tout va, tout fonctionne sans but, sans pourquoi
D'hiver en automne, ni fièvre ni froid.

Elle met du vieux pain sur son balcon
Pour attirer les moineaux, les pigeons.
Elle vit sa vie par procuration devant son poste de télévision.
Elle apprend, dans la presse à scandale, la vie des autres qui s'étale
Mais finalement, de moins pire en banal
Elle finira par trouver ça normal.
Elle met du vieux pain sur son balcon
Pour attirer les moineaux, les pigeons.

Des crèmes et des bains qui font la peau douce
Mais ça fait bien loin, que personne ne la touche.
Des mois, des années sans personne à aimer
Et jour après jour, l'oubli de l'amour.
Ses rêves et désirs si sages et possibles
Sans cri, sans délire, sans inadmissible.
Sur dix ou vingt pages de photos banales
Bilan sans mystère d'années sans lumière.

Elle met du vieux pain sur son balcon
Pour attirer les moineaux, les pigeons.
Elle vit sa vie par procuration devant son poste de télévision.
Elle apprend, dans la presse à scandale, la vie des autres qui s'étale
Mais finalement, de moins pire en banal
Elle finira par trouver ça normal.
Elle met du vieux pain sur son balcon
Pour attirer les moineaux, les pigeons.


http://www.youtube.com/watch?v=Uyxo-r8iB80

เพลงเพราะเอ็มวีงามนักร้องสวยยยยยย♥

วันอังคารที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 คนดังระดับโลก ถึงเรียนไม่จบก็ประสบความสำเร็จได้ !!

1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วยภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น
 โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
เธอเกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง
3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไปไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC’s Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน
4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor
เขาออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ
5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 – 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก
6.สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple
เรียนมหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์
7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์
หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวตาร (Avatar)
8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก
กว่าจะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ “เลดี้ กาก้า” ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง “เรดิโอ กา ก้า”
9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก
เล่นกอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี
10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook
ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก

ประวัติ "ดินสอ"


ดินสอ, ประวัติดินสอ, นักเรียน, การเรียน, เด็กเรียน, อุปกรณ์การเรียน, เขียน
ในสมัยอดีต การเขียนเรื่องต่างๆไม่ว่าจะเป็นแบบแผนทางวัฒนธรรม ตำรา หรือการวาดรูป มนุษย์ในสมัยก่อนใช้อุปกรณ์ที่เป็นแปรงหรือกิ่งไม้เล็กๆ และเหล็กที่มีปลายแหลม นำไปเผาไฟจุ่มลงในน้ำหมึกเพื่อใช้ในการขีดเขียน ( ภาษาโรมันเรียกแปรงหรือเหล็กแหลมนี้ว่า " Pencillus " หรือ " Little tail " ซึ่งต่อมากลายเป็นคำว่า " Pencil " มีความหมายว่า " หางน้อย " ) ส่วน " ปากไก่ หรือ ปากกาขนห่าน " เริ่มมีการประดิษฐ์ขึ้นใช้ในทวีปยุโรปเมื่อศตวรรษที่ 6
ดินสอ สิ่งประดิษฐ์ที่ทำด้วยไม้แท่งเล็กๆ ยาวประมาณ 7 นิ้ว บรรจุภายในด้วยแกรไฟต์ นับว่าเป็นเครื่องมือของการขีดเขียนที่มีราคาถูกที่สุด ในการทำงานด้านการเขียนต่างๆ ที่ยังไม่แน่ใจในความถูกต้อง และอาจจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงผลงานต่างๆ อาทิเช่น งานวาดรูป งานออกแบบเสื้อผ้า ฯลฯ ไปจนถึงสูตรทำระเบิดนิวเคลียร์ ต่างก็เกิดขึ้นจากดินสอทั้งนั้น
กำเนิดและประวัติของดินสอ เมื่อประมาณ 400 กว่าปีก่อน บาทหลวงชาวสวิสเซอร์แลนด์ได้เป็นผู้คิดค้นประดิษฐ์เครื่องเขียนที่ทำจากขนนกขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ใช้ต้นทุนค่อนข้างสูงและไส้ดินสอมีความเปราะเกินกว่าจะใช้ในงานเขียนปกติได้ ทำให้งานเขียนช้ามาก ต่อมาในปี ค.ศ. 1564 ได้มีการค้นพบวัสดุที่ใช้ทำไส้ดินสอได้ดีโดยบังเอิญ เนื่องจากเกิดพายุใหญ่ในทุ่งเลี้ยงแกะ ใกล้กับหมู่บ้านบอร์โรว์เดล ตำบลคัมเบอร์แลนด์ ประเทศอังกฤษ ต้นไม้ใหญ่ถูกพายุพัดถอนรากถอนโคนเป็นจำนวนมาก หลังจากพายุสงบชาวบ้านได้พบหินสีดำอยู่ใต้ดิน ณ บริเวณรากของต้นไม้ที่โค่นล้ม เมื่อทดลองนำมาขีดเขียน ปรากฏว่ามีความคมชัดดีมาก คนเลี้ยงแกะจึงนำมาเขียนสัญลักษณ์ลงบนตัวแกะของตนเอง หินสีดำที่ค้นพบในครั้งนั้นคือ แกรไฟต์ ( Graphite เป็นคาร์บอนชนิดหนึ่ง )
หลังจากนั้นไม่นานมีผู้นำหินนี้มาทำเป็นแท่งและนำไปขายโดยโฆษณาว่าเป็น " หินสี " สามารถนำไปเขียนบนสิ่งใดก็ติดทั้งนั้น พ่อค้านิยมซื้อไปเขียนตราสัญลักษณ์และทำเครื่องหมายบนสินค้า หรือหีบห่อที่บรรจุสินค้าของตน เพื่อเป็นการบอกชนิด จำนวน และราคาของสินค้านั้นๆ ดินสอ, ประวัติดินสอ, นักเรียน, การเรียน, เด็กเรียน, อุปกรณ์การเรียน, เขียนต่อมาพระเจ้าจอร์ช ที่ 2 ได้ยึดเหมืองแร่แกรไฟต์แห่งบอร์โรว์เดลให้เป็นของรัฐ โดยเข้าไปดำเนินการแบบผูกขาด (แกรไฟต์ เป็นวัตถุสำหรับทำกระสุนปืนใหญ่) ไม่ต้องการให้ประชาชนเข้าไปเกี่ยวข้อง เกรงจะถูกแย่งชิง โดยเปิดดำเนินการปีละ 2 - 3 เดือน เท่านั้น เพื่อเป็นการสงวนทรัพยากรธรรมชาติและลดต้นทุนในการผลิต ขณะหยุดดำเนินการจะห้ามไม่ให้ผู้ใดเข้ามาภายในเหมืองแร่อย่างเด็ดขาด ครั้งแรกที่ผลิตแท่งแกรไฟต์ออกจำหน่ายได้พบว่ามีข้อบกพร่องอยู่ 2 ประการ คือ เวลาเขียนจะมีสีดำสกปรกติดมือ และเปราะแตกหักง่าย จึงทำการแก้ไขด้วยการนำเชือกเส้นเล็กๆพันไว้รอบจนแน่นตลอดแท่ง แล้วคลายออกทีละน้อยเวลาใช้ขีดเขียนเพื่อไม่ให้สีดำติดมือ ส่วนการเปราะและแตกหักง่ายได้รับการแก้ไขให้ใช้งานได้ดีขึ้น ในปี ค.ศ. 1761 คาสปาร์ เปเปอร์ (ช่างงานฝีมือชาวบาวาเรีย) ซึ่งอดีตเป็นนักเคมี ได้นำแท่งแกรไฟต์ไปบดให้ละเอียดแล้วผสมด้วย กำมะถัน พลวง และยางสน จากนั้นจึงนำไปใส่ในพิมพ์ทำเป็นแท่ง
เพื่อให้เกิดความสะดวกในการใช้งาน ปี ค.ศ. 1795 พระเจ้านโปเลียนที่ 1 มีรับสั่งให้ นิโคลาส แจ๊ค ดังเต้ ซึ่งเป็นหัวหน้านักเคมีและนักประดิษฐ์ชั้นแนวหน้าของประเทศฝรั่งเศส นำแกรไฟต์ที่สามารถหาได้ทั้งหมดในฝรั่งเศสมาทำเป็นดินสอ แต่เมื่อนานเข้าทำให้เกิดการขาดแคลนแกรไฟต์ นิโคลาสจึงได้นำเอาแกรไฟต์มาบดเป็นผงแล้วผสมเข้ากับดินเหนียวชนิดหนึ่ง (Clay) ในสัดส่วนที่แตกต่างกันเพื่อหาส่วนผสมที่ดีที่สุด แล้วจึงนำไปเข้าเตาเผา จนกลายเป็นต้นตำรับของการทำดินสอ คือ เนื้อเหนียวขึ้น ไม่หักเปราะง่าย และด้วยการเพิ่มดินเหนียวเข้าไปตามอัตราส่วนนี้เองทำให้สามารถผลิตไส้ดินสอออกมาได้หลายขนาด คือ แข็ง ( Hard ) หรือ H ลงมาจนอ่อนสามารถเขียนได้ติดดำสนิท ( Black ) หรือ B ซึ่งในปัจจุบันมีตั้งแต่ 5 H และ 6 B เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน ต่อมาชาวอเมริกัน ชื่อ วิลเลียม มอนโร ซึ่งเป็นช่างทำเฟอร์นิเจอร์ ได้ประดิษฐ์เครื่องมือสำหรับผลิตดินสอขนาดมาตรฐานได้สำเร็จ สามารถตัดไม้ออกเป็นแผ่นบางๆ ยาวประมาณ 6-7 นิ้ว เซาะเป็นร่องเล็กๆตลอดความยาวของแผ่นไม้ เพื่อบรรจุแท่งแกรไฟต์ และใช้ไม้อีกแผ่นหนึ่งเซาะร่องไว้อย่างชิ้นแรก นำมาทากาวแล้วประกบลงไป ซึ่งเป็นดินสอที่มีไม้หุ้มและเป็นดินสอที่ทันสมัยแท่งแรกของโลก เป็นเครื่องมือสำหรับใช้ในการขีด - เขียน ที่มีราคาถูกและ สะดวก รูปร่างกระทัดรัดและสวยงาม เป็นที่ยอมรับในทุกวงการ ทำให้ปากกาขนห่านจุ่มน้ำหมึกในสมัยนั้นเสื่อมความนิยมไปดินสอ, ประวัติดินสอ, นักเรียน, การเรียน, เด็กเรียน, อุปกรณ์การเรียน, เขียน
วัสดุที่ใช้ทำดินสอ ในปัจจุบันดินสอทำด้วยวัตถุดิบที่แตกต่างกันออกไปกว่า 40 ชนิด แต่ดินสอที่ดีที่สุด คือดินสอที่ใช้อุปกรณ์ในการทำดังนี้
Graphite จากประเทศศรีลังกา มาดากัสการ์ และเม็กซิโก
Clay จากประเทศเยอรมัน
ยาง (ใช้ทำยางลบ) จากประเทศมาเลเซีย
แร่พลวง (ใช้เป็นตัวเชื่อมของ Graphite กับ Clay) จากประเทศเบลเยี่ยม และตามบริเวณชายฝั่งของประเทศเดนมาร์กเท่านั้น ไม้ที่นำมาห่อหุ้มแท่งดินสอส่วนใหญ่จะทำจาก "ไม้ซีดา" ที่มีอายุ 200 ปีขึ้นไป เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม โดยนำมาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย จะพบบนเขาสูงๆเท่านั้น ( ไม้ซีดาเป็นไม้ที่มีเนื้ออ่อนและเหลาง่าย )
กระบวนการในการทำดินสอ นำไม้ที่ตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมเล็กๆ ( ขนาด 3 X 3 นิ้ว ) ไปตากแดดหรืออบจนแห้งสนิทจากนั้นจึงนำมาตัดให้เป็นแผ่นบางๆ หนา 5 ม.ม. ( ครึ่งหนึ่งของความกว้างของดินสอ) แล้วจึงนำไปเข้าเครื่องเซาะร่องสำหรับบรรจุไส้ดินสอ หลังจากนั้นใช้ไม้อีกชิ้นหนึ่งมาประกบด้วยการติดกาว เข้าเครื่องตัดเป็นแท่ง พ่นสี ติดตรา และติดยางลบ ก่อนที่จะนำออกจำหน่ายต่อไป ซึ่งบริษัทผู้ผลิตสามารถผลิตดินสอให้แตกต่างในการใช้งานได้กว่า 300 ชนิด รวมทั้งดินสอที่สำหรับใช้ในทางศัลยกรรมของแพทย์ เนื่องจากดินสอชนิดนี้สามารถนำมาขีดเขียนบนผิวหนังของคนไข้ได้
รูปร่างและขนาดของดินสอ ดินสอมาตรฐานมีความยาว 7 นิ้ว แท่งหนึ่งๆสามารถลากเส้นได้ยาวถึง 35 ไมล์ เขียนได้อย่างน้อย 45,000 คำ เหลาดินสอ 17 ครั้ง จะเหลือเศษความยาวเพียง 2 นิ้ว บางชนิดจะติดยางลบ ไว้ด้วยเพื่อให้สะดวกในการใช้งาน สีที่นิยมใช้มากที่สุด คือ สีเหลือง บริษัทผู้ผลิตได้พยายามทำออกจำหน่ายหลายสีด้วยกัน เช่น สีเขียว สีแดง สีน้ำเงิน แต่ไม่ได้รับความนิยมเท่ากับสีเหลือง
ชนิดของดินสอ ปัจจุบันดินสอแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิดด้วยกัน คือ ดินสอดำ ( Lead Pencil ) คือดินสอที่นิยมใช้กันทั่วๆไป ไส้ดินสอทำจากถ่านแกรไฟต์ผสมกับดินเหนียว ( Clay ) ใช้ตัวอักษร B ( Black ) และ H ( Hard ) กำหนดความแข็งและความเข้มของไส้ดินสอ ขนาด 6 B จะมี Clay ผสมน้อย ส่วนขนาด 6 H จะมี Clay ผสมมากที่สุด ดินสอที่มีความเข้มน้อยจะใช้ในการร่างภาพ ส่วนดินสอที่มีความเข้มมากจะใช้ในการแรเงา ดินสอคาร์บอน ( Carbon Pencil ) หรือดินสอถ่าน ทำจากส่วนผสมของถ่านไม้ (Charcoal) ไส้ดินสอดำคล้ายถ่านไม้ มีชนิดแข็งและอ่อน ลำดับจาก HH (แข็งมาก),HB(ปานกลาง ), B(ไส้อ่อนแต่ดำ),BB (ดำมาก),BBB (ดำที่สุด) บางบริษัทใช้ตัวอักษร E แทนตัวอักษร B