วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

Les Champs-Elysées – Joe Dassin



Je m'baladais sur l'avenue le coeur ouvert à l'inconnu
J'avais envie de dire bonjour à n'importe qui
N'importe qui et ce fut toi, je t'ai dit n'importe quoi
Il suffisait de te parler, pour t'apprivoiser

*Aux Champs-Elysées, aux Champs-Elysées
Au soleil, sous la pluie, à midi ou à minuit
Il y a tout ce que vous voulez aux Champs-Elysées

Tu m'as dit "J'ai rendez-vous dans un sous-sol avec des fous
Qui vivent la guitare à la main, du soir au matin"
Alors je t'ai accompagnée, on a chanté, on a dansé
Et l'on n'a même pas pensé à s'embrasser

*Aux Champs-Elysées, aux Champs-Elysées
Au soleil, sous la pluie, à midi ou à minuit
Il y a tout ce que vous voulez aux Champs-Elysées

Hier soir deux inconnus et ce matin sur l'avenue
Deux amoureux tout étourdis par la longue nuit
Et de l'Étoile à la Concorde, un orchestre à mille cordes
Tous les oiseaux du point du jour chantent l'amour
*Aux Champs-Elysées, aux Champs-Elysées
Au soleil, sous la pluie, à midi ou à minuit
Il y a tout ce que vous voulez aux Champs-Elysées

*Aux Champs-Elysées, aux Champs-Elysées
Au soleil, sous la pluie, à midi ou à minuit
Il y a tout ce que vous voulez aux Champs-Elysées

Aux Champs-Elysées, aux Champs-Elysées..

.

ผมเดินไปตามถนนกว้าง หัวใจของผมนั้นเปิดต้อนรับคนแปลกหน้า
ผมอยากที่จะพูดว่า 'สวัสดี' กับทุกคนไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นใครก็ตาม
ผมจะบอกคุณในทุกๆเรื่อง และมันก็เพียงพอที่จะทำให้คุณเชื่อใจผม
ณ ชองม์-เอลิเซ่
ไม่ว่าแดดจะออก หรือฝนตก จะกลางวัน หรือว่ากลางคืน
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการอยู่ที่ ชองม์-เอลิเซ
คุณบอกผมว่า 'คุณมีเดตกับชายบ้าบอคนหนึ่งที่ถือกีตาร์ในมือ
และเขาเล่นมันตั้งแต่ตอนเย็นจนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น'
ดังนั้น ผมจึงร่วมทางไปกับคุณ
พวกเราร้องเพลงด้วยกัน เต้นรำด้วยกัน และเราไม่ได้คิดแม้แต่จะจูบกัน
ณ ชองม์-เอลิเซ่
ไม่ว่าแดดจะออก หรือฝนตก จะกลางวัน หรือว่ากลางคืน
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการอยู่ที่ ชองม์-เอลิเซ
เย็นของเมื่อวาน มีคนแปลกหน้าสองคน
แต่เช้าวันนี้ บนถนนเส้นนี้ มีคู่รักสองคน ทำให้ทุกคนแปลกใจ
ตลอดค่ำคืนอันยาวนาน จาก ประตูชัย ถึง จตุรัสกงกอร์ด
มีวงออเคสตราที่เต็มไปด้วยเครื่องสายกว่าพันเครื่อง
บรรดานกต่างขับร้องเพลงรัก
ณ ชองม์-เอลิเซ่
ไม่ว่าแดดจะออก หรือฝนตก จะกลางวัน หรือว่ากลางคืน
มีทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการอยู่ที่ ชองม์-เอลิเซ
ณ ชองม์-เอลิเซ่..

ตำนานแม่มด (มาแนวเพ้อเจ้อนะวันนี้)


ประวัติของ"แม่มด"
เชื่อว่าทุกท่านคงรู้จักแม่มดกันดี ภาพลักษณ์ของแม่มดที่ติดตาเราดี มักเป็นหญิงแก่ แต่งกายด้วยชุดดำ มีความน่ากลัวและลี้ลับอยู่ในตัวเอง ชื่อของแม่มดก็บอกอยู่แล้วนะครับว่า ต้องเป็นผู้หญิงแน่นอน แถมเป็นผู้หญิงชนิดพิเศษ สามารถใช้เวทย์มนตร์คาถา ขี่ไม้กวาดเหาะไปมาได้ แถมยังแบ่งแม่มดออกเป็น แม่มดดำ - แม่มดขาว คำว่าดำ - ขาว เนี่ย ไม่ได้หมายถึงสีผิวหรอกครับ แต่เป็นลักษณะของเวทย์มนตร์ที่แม่มดใช้ และต้นสังกัดที่บรรดาแม่เจ้าประคุณแม่มดทั้งหลายสังกัดอยู่ต่างหาก 

แม่มดดำ คือพวกที่เคารพบูชาซาตาน ( Satan ) และใช้เวทย์มนตร์โดยอาศัยความช่วยเหลือ จากบรรดาภูตร้ายวิญญาณชั่ว สตรีชาวฝรั่งทั้งหลายที่ฝึกเวทย์มนตร์คาถาแนวนี้ นับเป็นแม่มดดำหมดเลยครับ 

ส่วนแม่มดขาว เป็นพวกที่นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิเหนือธรรมชาติ (Supreme being) หรือไม่ก็อาศัยความช่วยเหลือจาก นางฟ้า นักบุญ รวมไปถึงวิญญาณของคนที่มีคุณธรรม 

นี่แหละครับ คำจำกัดความของแม่มดแบบตะวันตก หลายท่านอาจจะสงสัยว่า แม่มดมีแต่ผู้หญิงไม่มีผู้ชายหรือ มีเหมือนกันครับ พวกนี้เราจะเรียกว่าพ่อมดหรือ warlock ตัวอย่างของ warlock ที่รู้จักกันดีก็คือเมอร์ลิน พ่อมดเฒ่าที่ปรึกษาของพระเจ้าอาร์เธอนั่นเอง 

คำว่า "Witch" หรือแม่มดแผลงมาจากคำว่า "wit" ในภาษาแองโกลแซกซอน หมายถึง -To know หรือหยั่งรู้ - ต้องการรู้ ดังนั้น แม่มดจึงหมายถึงพวกที่ต้องการศึกษาหาความรู้ (ในศาสตร์ลึกลับเหนือธรรมชาติ) อาจจะด้วยแนวทางที่มีคุณธรรมหรือชั่วร้ายก็ได้ จะว่าไป แม่มดก็เหมือนนักวิทยาศาสตร์ที่เอาแต่สนใจค้นคว้าทดลองเพื่อหาความรู้โดยไม่เลือกวิธี และไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ความแตกต่างระหว่างแม่มดดำกับขาวคือ แม่มดขาวจะยึดศาสนาเป็นที่ตั้ง บางครั้งแม่มดขาวเองก็อาจก่อตั้งศาสนาสาขาใหม่ เพื่อชี้นำกลุ่มชน ให้ยึดหลักและแนวปฏิบัติที่ดีกว่าสำหรับชีวิต 

แม่มดดำจะบูชาซาตาน รวมทั้งคลุกคลีอยู่กับภูตผีตัวร้ายต่างๆ อย่างเช่น แพน หรือ ลิลิธ-ราชินีแห่งรัตติกาล แม่มดดำมักจะแสวงหาความรู้ที่สลับซับซ้อนมากกว่าที่จะ แสวงหาความสงบแห่งจิตใจ ตามปกติแม่มดจะไม่สำแดงมนตราออกมาอวดใครง่ายๆ นอกจากเพื่อลองวิชา บางทีการทำหุ่นขี้ผึ้งจำลองคนบางคน แล้วเอาเข็มจิ้มเล่นเพื่อให้ทรมานนั้น ก็หาได้เกิดจากความแค้นของแม่มดหรอกครับ แต่เพื่อลองวิชาสนุกๆไปซะอย่างนั้นเอง 

ถึงเป็นแม่มดก็ยังต้องกินข้าวเหมือนกัน แม่มดเองต้องทำมาหากินเหมือนกับคนทั่วไป รายได้ของแม่มดส่วนใหญ่มาจากค่าตอบแทนในการทำพิธีไสยศาสตร์ และการขายเครื่องรางของขลัง โดยส่วนใหญ่จะไม่คำนึงว่าใครจะเดือดร้อนจากการกระทำนี้บ้าง เข้าข่ายเดียวกับบริษัทผลิตอาวุธสงคราม มีหน้าที่ผลิต ส่วนจะเอาไปฆ่าใครบ้าง มันก็เรื่องของคุณ 

กว่าจะมาเป็นแม่มด... 
แม่มดขาวส่วนใหญ่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง อาจจะมาจากความใกล้ชิดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ หรือ จากคัมภีร์โบราณทางศาสนา แม่มดขาวบางคนอาจรับศิษย์สำหรับถ่ายทอดวิชา แต่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ ตรงข้ามอย่างสิ้นเชิงครับกับแม่มดดำ แม่มดดำส่วนมากจะยินดีรับศิษย์ซึ่งส่วนใหญ่ศิษย์ของแม่มด จะได้รับสิ่งตอบแทนคือ ได้รูปร่างหน้าตาที่มีเสน่ห์สำหรับเพศตรงข้าม ชนิดที่ว่ากิ๊ก สุวัจนีชิดซ้ายไปเลย ทว่าใช่จะได้รับกันมาฟรีๆนะครับ สิ่งที่ต้องแลกกับรูปร่างอันอวบอึ๋มก็คือ การไม่สามารถมีทายาทได้ รางวัลของการเป็นแม่มดดำอีกอย่างก็คือ การมีอายุที่ยืนยาวเป็นร้อยๆปี ถึงอย่างนั้นก็เถอะ มนตร์ดำไม่ใช่ครรลองที่ถูกต้องตามธรรมชาติ แม่มดดำทุกคนมักจะพบกับจุดจบที่และทรมานเป็นส่วนใหญ่ ถ้าจะว่ากันตามหลักของชาวพุทธล่ะก็ คงเรียกได้ว่ากรรมตามทันมั๊ง เพราะทำร้ายชาวบ้านเค้าไว้มาเหลือเกิน 

การเรียนวิชาแม่มดจะเริ่มตั้งแต่อายุเท่าใดก็ได้ นับตั้งแต่วัยสาวเป็นต้นไป ระยะแรกนั้นจะเริ่มจากคาถาง่ายๆ เช่น การใช้เวทย์มนตร์ทำเสน่ห์ การสาปให้พืชผลเ่ยวเฉาและเป็นโรค รวมถึงการมองเห็นอนาคต(ที่ร้ายๆ) พอวิชาแก่กล้าขึ้นหน่อย ก็มาถึงการทำให้ลอยตัวในอากาศ หรือ เหาะโดยไม่ต้องอาศัยไม้กวาด ขั้นต่อไปก็คือการแปลงร่างให้เป็น!ต่างๆ รวมไปถึงการฝึกคาถาขั้นสูงเพื่อให้มีอำนาจเหนือมนุษย์ทั่วๆไป ฝึกสำเร็จเมื่อไหร่ก็ออกเปิดสาขารับศิษย์ได้เลย

ว่ากันว่า ความยากของการเรียนวิชาแม่มดนั้นมาจากการไม่มีตำรา ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรม สูตรยา หรือ เวทย์มนตร์ ล้วนต้องถ่ายทอดกันแบบปากเปล่า การจะเป็นแม่มดดำที่เก่งฉกาจได้ จำต้องอุทิศตนให้กับซาตานผู้เป็นนายแห่งความมืดเสียก่อน อิซโซเบล ดาวดี ( Isobel Dowdie ) แม่มดสาวผู้อื้อฉาวแห่งสก็อตสมัยศตวรรษที่ 17 เปิดเผยถึงพิธีกรรมของแม่มดว่า ผู้ที่สมัครใจจะเป็นแม่มดต้องไปยืนแก้ผ้าต่อหน้าพยานหลายคน โดยปฏิญาณตนด้วยท่าดังภาพประกอบ ว่าจะยอมเป็นข้าช่วงใช้ และขายวิญญาณให้กับซาตาน หรือมารร้ายจากโลกมืด 

แม่มดจะแบ่งเป็นกลุ่มย่อยซึ่งเรียกกันว่าชมรมแม่มด โดยแม่มดสาวที่เข้ามาใหม่ จะได้เป็นแค่สมาชิกสมทบ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกถาวรตายลงจึงจะได้เป็นสมาชิกถาวร แม่มดแต่ละกลุ่มจะมีกัน 13 คนครับ เพราะถือเป็นเลขสวยงามสำหรับผู้บูชาความมืด กลุ่มแม่มดจะมาชุมนุมกันเดือนละครั้งในคืนวันเพ็ญ และรวมชุมนุมแม่มดกลุ่มต่างๆปีละสี่ครั้ง ล้วนเป็นวันสำคัญทางศาสนาทั้งสิ้น ได้แก่วัน Candlemas(2 ก.พ. วัน Walpergist Night( 1พ.ค. วันต้อนรับฤดูใบไม้ผลิ) วัน Rammas Day(วันฉลองการเก็บเกี่ยวประจำปี) และครั้งสุดท้ายวึ่งเป็นครั้งที่สำคัญที่สุดของปี คือวันที่ 31 ตุลาคม อันเป็นวันฮัลโลววีน 

ตำนานของชาวบุโรปกล่าวว่า ใครที่เกรงกลัวแม่มดสามารถหลบหลีกได้ ด้วยการอยู่แต่ในบ้าน โดยเฉพาะในคืนที่พระจันทร์เต็มดวงหรือคืนที่พวกแม่มดมีงานชุมนุมประจำปี แม้ว่าแม่มดดำทุกคนจะไม่รังเกียจ หากบุคคลภายนอกจะเข้าร่วมพิธีด้วย แต่มีกฏข้อบังคับอยู่ว่า สมาชิกทุกคนจะต้องเปลือยกายหมด ต้องบูชาซาตาน มีการดื่มกินกันอย่างมูมมาม ตลอดจนเสพสังวาสกับใครๆในกลุ่มอย่างไม่รังเกียจเดียดฉันท์ 

แม้ว่าคนทั่วไปจะมีความเกลียดและกลัวแม่มด แต่ของขลังของแม่มดก็มีอิทธิฤทธิ์ชะงัดนัก มีเรื่องเล่าว่า เส้นใยจากเชือกที่เพชฌฆาตรใช้แขวนคอนักโทษ สามารถรักษาผิวหนังแตกหน้าท้องลายได้ชะงัดนัก สำหรับใครที่เบื่ออาการขี้บ่นของแม่ยายและเมียแก่ๆ สามารถไปขอราที่ขึ้นบนหลุมฝังศพกับแม่มด มาผสมน้ำให้พวกหล่อนดื่ม จากนั้นแม่เจ้าประคุณทั้งหลายจะว่านอนสอนง่ายขึ้นอีกเป็นกอง สำหรับใครที่มีเมียชอบเที่ยว แม่มดก็มียาแก้ ยาที่ว่าคือ!ของมัมมี่(ไปเอามาได้ยังไงฟะ?) รับรองกลายเป็นคนหงิมๆอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือนไปเลย 

กล่าวกันไปแล้วในตอนต้นนะ ว่าแม่มดมักจะไม่คำนึงถึงคุณธรรมใดๆทั้งสิ้น ขอเพียงมีคนว่าจ้าง แม่มดก็จะจัดการ "เชือด" เหยื่อให้มีอันเป็นไปสมประสงค์ของผู้จ้าง วิธีการที่นิยมกันคือสร้างหุ่นจำลองขี้ผึ้งขึ้นมา จากนั้นก็เอาเข็มปักตามอวัยวะต่างๆทีละเล่มๆ ครบสิบสามเล่มเมื่อไหร่ก็เป็นอันตายเมื่อนั้น 

ไม่ว่าแม่มดจะมีจริงหรือไม่ก็ตาม ในยุคกลางของยุโรปหรือที่เราเรียกกันว่ายุคมืดนั้น มีการล่าแม่มดขนานใหญ่ สมมุติว่าเกิดเหตุผิดธรรมชาติขึ้นในท้องถิ่น เช่นฝนไม่ตก มีโรคระบาด สิ่งแรกที่คนสมัยนั้นจะนึกถึงก็คือแม่มด พวกชาวบ้านจะระดมกำลังกันตามหาผู้ต้องสงสัย และส่วนใหญ่มักหาแพะรับบาปพร้อมหลักฐานได้จำนวนหนึ่ง แม้ว่าบางทีหลักฐานนั้นจะดูตลกๆ เช่นแค่เลี้ยงหมากับแมวไว้ในบ้านก็ตาม หญิงแก่ไร้ญาติบางคน ซึ่งมีแค่แมวตัวเดียวเป็น!เลี้ยงคลายเหงา มักถูกหาว่าเป็นแม่มดและถูกลากมาเผาประจานทั้งเป็นอย่างน่าเอน็จอนาถ หญิงสาวบางคนที่สวยเกินไปก็โดนข้อหานี้ด้วย เพราะสงสัยว่าจะเอาวิญญาณเข้าแลกกับเรือนร่างอันน่ามอง แถมผู้ชายในสมัยนั้นยังชอบทารุณกรรมผู้หญิง โดยยกข้ออ้างจากไบเบิลขึ้นมาอ้างว่า "สูเจ้าจะต้องไม่ทรมานแม่มดด้วยการปล่อยให้มีชีวิต" -Thou shlt not a suffer a witch to live 


เทศกานล่าแม่มด-*- 
พอเอ่ยถึงแม่มด พ่อมด เราๆท่านๆก็คงนึกถึงภาพอย่างเดียวกัน คนแก่จมูกงองุ้ม คางแหลม ผมกระเซิง ขี่ไม้กวาดบินผ่านฟ้าในยามรัตติกาล หรือไม่ก็ กำลังกวนส่วนผสมอะไรซักอย่างในหม้อยักษ์ ที่ส่งควันสีฟ้าอมม่วงขโมงไปหมด ครับ... นั่นคือภาพจากเทพนิยายหรือนิทานปรัมปรา ที่เอาไว้อ่านให้เด็กๆหรือที่รักฟังก่อนนอน แต่ทว่า เรื่องราวเหล่านี้ กลับเป็นผลให้หญิงสาวธรรมดาๆ ล้มตายราวกับใบไม้ร่วง กลายเป็นแม่มดที่ถูกประหัตประหารอย่างไร้มนุษยธรรม นับศตวรรษต่อศตวรรษเลยทีเดียวเชียว

จดหมายฉบับหนึ่ง ที่นายกเทศมนตรีแห่งแบมเบิร์กเขียนถึงลูกสาว ในเดือนกรกฎดาคม ค.ศ. 1628 แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมาน อันเนื่องมาจากกระบวนการไต่สวนและลงโทษแม่มด ซึ่งนับว่ามโหดเกินกว่ามนุษย์จะกระทำต่อกัน มาดูเนื้อหาในจดหมายไหมครับว่า ผู้เคราะห์ร้าย ต้องประสบชะตากรรมใดบ้าง 

"ลูกรักของพ่อ ฟังคำสารภาพของพ่อก่อนที่จะตาย มันเป็นเรื่องโกหกหลอกลวงที่กุขึ้นมาทั้งสิ้น โอ! พระผู้เป็นเจ้า โปรดช่วยลูกด้วย ลูกถูกบังคับให้พูดออกมาเพราะหวาดกลัวต่อการทรมาน ซึ่งลูกทนมานานแล้ว ไม่มีใครจะรอดจากการทรมานนี้ไปได้หากไม่สารภาพ ไม่ว่าจะเป็นคนดีสักเพียงใดก็ต้องสารภาพว่าเป็นแม่มด พ่อมด... เพื่อไม่ให้เลือดต้องหลั่งรินตามเล็บมือ เล็บเท้า และทุกๆส่วนของร่างกาย!!" 

นี่คือจดหมายฉบับสุดท้าย เพราะหลังจากที่เขียนจดหมายฉบับนี้อย่างลับๆ นายกเทศมนตรีก็ถูกประหารชีวิตในข้อหาที่ว่าเป็นพ่อมด ในยุคนั้นชาวยุโรปนับไม่ถ้วนถูกสังหาร ตามเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ความหวาดผวาแม่มด" (The Great Witch Panic) ใครหนีได้ก็หนีไป แต่ถูกจับแล้วก็อย่าหวังว่าจะรอด แถมถกบีบให้ซัดทอดกันไปอีก เหตุการณ์ทมิฬนี้เริ่มมาตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 15 จนเลย 16 ไป เรียกได้ว่า บูมข้ามศตวรรษ เลยก็แล้วกัน 

อันที่จริงไม่มีใครสนใจเรื่องพ่อมดแม่มดมาก่อนสมัยกลางหรอกนะครับ แล้วก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีพ่อมดแม่มดมาก่อนหน้านี้เอาเสียเลย เพราะพ่อมดแม่มดนั้น มีมาก่อนที่มนุษย์เราจะรู้จักบันทึกประวัติศาสตร์เลยด้วยซ้ำ จนมาถึงยุคกลางนี่แหละครับ คนถึงได้ตื่นตัวเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะความเชื่อที่ขัดแย้งกับคริสตศาสนานั่นเองครับ 

เดิมที เมื่อเจ้าหน้าที่บ้านเมืองเข้ามาจัดการ กับพวกแม่มดหมอผี ก็เริ่มจากการกล่าวหาว่า ทำเวทย์มนตร์กับคน หรือ พืชผลเป็นรายๆไป แต่การประหัตประหารเหล่าแม่มดอย่างป่าเถื่อนนั้น เริ่มต้นมาจากการพิพากษาของศาลที่สนับสนุนโดย พระสันตะปาปา ที่จัดตั้งขึ้นในคริสศตวรรษที่ 13 เพื่อกำจัดพวกนอกรีตอัลโบเจนเชียน หรือชาวเมืองอัลบี ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส อย่างที่เราทราบกันดีครับ ว่าสมัยก่อนนั้น พระสันตะปาปาหรือโป๊บ ทรงกุมอำนาจที้งการเมืองและศาสนาไปพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นในคริสตศตวรรษที่ 13 จึงมีบรรดาเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ที่มีโป๊บหนุนหลังเที่ยวไปสอบสวนระรานพวกอัลโบเจนเชียน แล้วก็ทำเลยเถิดไป กลายเป็นการเข่นฆ่าพ่อมดแม่มดเทียมกันอย่างสนุกมือแต่สยองใจไปแทน 

อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆคนอาจจะถามขึ้นมาว่า เอ... แม่มดพวกนี้ไปทำอะไรให้ชาวคริสต์เขาหวาดผวานะ ถึงได้จงเกลียดจงชังเฝ้าเผาผลาญทำลายล้างแบบนี้ คำตอบของเรื่องนี้ก็คือ ทางศาสนจักรคิดว่า แม่มดเหล่านี้ คือสมุนผู้สมคบคิดกับซาตาน ร่วมมือกับพวกปีศาจจนกลายเป็นองค์กรมืด ที่ต้องการจะทำลายศาสนจักรและชาวคริสต์ให้สิ้นซาก 

ความคิดบ้าๆใช่ไหมล่ะ บ้าชัดๆ.. แต่ว่า แนวคิดนี้เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1335 โดยมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นที่เมืองตูลูส ประเทศฝรั่งเศส บันทึกของคณะลูกขุนอ้างความเชื่อของบรรดาหญิงที่ถูกกล่าวหา ที่ว่าเจ้าแห่งปีซาจที่มีอำนาจเทียบเท่าพระเจ้าและยังเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้ พวกหล่อนบอกว่าได้ทำสัญญากับซาตาน และมีเพศสัมพันธ์กับเหล่าปีศาจที่แปลงร่างมาในร่างแพะตัวผู้ 

นอกจากนี้ พวกหล่อนยังได้ลบหลู่ดูหมิ่นพิธีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ (Holy Communion) ตามคำบัญชาของซาตาน และเคยพบปะสมาคมระหว่างแม่มดในวันแซบบัท (Sabbat) ซึ่งถ้าเป็นแซบบัทของชาวคริสต์ จะสะกดว่า Sabbath แทน และมักจะเป็นวันเสาร์หรืออาทิตย์ มีที่มาตั้งแต่สมัยโมเสสหรือบัญยัติสิบประการ ที่โมเสสรับคำบัญชาจากพระเจ้ามาบอกพวกยิวว่า ให้วันที่เจ็ดของสัปดาห์เป็นวันพักผ่อนซึ่งหมายถึงวันเสาร์ และกลายเป็นวันอาทิตย์ในเวลาต่อมา แต่วัน sabbat ของพวกแม่มดนี้เป็นทุกคืนวันศุกร์ครับ และเป็นวันรื่นเริงตามแบบชาวแบคคานาเลี่ยนที่แสนจะไร้ยางอาย 

สงสัยกันไหม ว่าแบคคานาเลียคืออะไร คำๆนี้หมายถึงเทศกาลเฉลิมฉลองของชาวโรมันโบราณ เพื่อบูชาเทพแห่งความมึนเมาแบคคัส หรือชื่อกรีกว่า ไดโอนิซัส พระองค์เป็นเทพแห่งเหล้าและทรงเป็นผู้พบองุ่น จึงไม่น่าแปลกเลยว่าวันแซบบัทของพวกพ่อ(แม่)มดนั้น เป็นวันที่ซัดเหล้ากันอย่างเต็มที่ และมั่วเซ็กส์ชนิดไม่ลืมหูลืมตา นับว่าบัดสีและไร้ยางอายอย่างที่สุดเลย

ในวันนี้ แม่มดจะพากันท่องคำสาป หั่นชิ้นส่วนของคนตายและ!ของต่างๆ ผสมกับเศษผ้าจากศพที่ถูกแขวนคอต้มเปื่อยกับสมุนไพรมีพิษ นอกจากนี้ยังขโมยทารกแรกเกิดมากินกันเป็นของหวานซะอีก เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังทำให้แกะของชาวบ้านป่วย พืชผลเสียหาย และฆ่าคนโดยละลายหุ่นขี้ผึ้งที่มีเศษเสื้อผ้าของเหยื่อเคราะห์ร้ายนั้นด้วย 

จึงไม่มีข้อสงสัยเลยว่า มีหลายคนที่ต้องตายเพราะถูกกล่าวหาว่า ประกอบพิธีกรรมชั่วร้ายดังกล่าว ตัวอย่างที่ขึ้นชื่อลือกระฉ่อนก็คือ กิลส์ เดอ เรส์ สหายร่วมศึกเชื้อสายขุนนางของ โจน ออฟ อาร์ค (วีรสตรีและผู้นำกองทัพฝรั่งเศส นี่ก็อีกคนครับ ที่โดนกล่าวหาว่าเป็นแม่มดและถูกเผาทั้งเป็น ทั้งที่เธอบริสุทธิ์ ตอนหลังได้รับการอวยยศเป็นเซนต์โจนครับ) หลังจากที่สูญเสียสมบัติ กิลส์พยายามที่จะกลับมาร่ำรวยโดยอาศัยมนต์ดำหรือ V\black magic ซึ่งเกี่ยวไปถึงการหลั่งเลือดของสตรีพรหมจรรย์ผู้ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เขายังทำร้ายและฆ่าเด็กๆกว่า 50 คนอย่างมโหด ก่อนที่ตัวเขาจะถูกพบและเผาทั้งเป็น แต่นอกจากพ่อมดเซ่อซ่ากระหายอำนาจบางคน พ่อมดแม่มดอื่นๆก็เป็นแค่คนแก่ๆกระจอกๆ หรือเป็นพวกที่ถูกกล่าวหาแบบผิดๆ โดยคนอื่นที่ไม่กินเส้นกัน หรือหาแพะรับบาปเมื่อเกิดภัยธรรมชาติหรือโรคระบาด 

แน่ล่ะ เมื่อมีการกล่าวหาว่าใครเป็นแม่มด นั่นก็หมายถึงว่าจะต้องมีการทรมานและจบลงด้วยความตาย ตามทฤษฎีแล้ว การลงโทษด้วยความตายกระทำได้ด้วยอำนาจรัฐเท่านั้น เมื่อคณะไต่สวนจัดการโยนผู้กระทำผิดให้มาอยู่ในอำนาจรัฐ แล้วก็จะถามว่าให้ยกเว้นการลงโทษแบบหลั่งเลือด หรือ ถึงแก่ชีวิตโดยดี 

หมายเหตุ กิลส์ เดอ เรส์ ขุนนางชาวฝรั่งเศสสมัยศตวรรษที่ 15 ซึ่งเป็นที่มาของตำนานบลูเบียร์ด (Bluebeard) ซึ่งเจ้าเคราดำนี้ เป็นตัวละครในนิทาน(โหดๆ)พื้นบ้าน มีจิตใจประเภทซาดิสม์ที่แต่งงานกี่ครั้งๆก็ฆ่าเมียตัวเองทุกคน เรื่องนี้เคยเอามาทำเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง รวมทั้งนวนิยายและภาพยนตร์สมัยใหม่ ก็นำเค้าโครงเรื่องนี้ไปหากินมานักต่อนักแล้ว 

ทว่า กรณีที่พวกบูชาซาตานถูกทรมานและฆ่า (โดยถูกต้องตามกฏหมาย) เริ่มขึ้นในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 13 เมื่อพระเจ้าฟิลลิปส์ที่ 4 แห่งฝรั่งเศสเข่นฆ่าอัศวินที่เรียกกันว่า Order of Knights Templar เพื่อที่ว่าจะได้ครองความร่ำรวยของพวกเขา หัวหน้าอัศวินที่เรียกว่าแกรนด์มาสเตอร์และอัศวินอีก 54 นาย ที่เป็นพี่น้องร่วมศาสนาในยุคนั้น ถูกเผาหลังจากถูกขึงพืดทรมาน และในปี ค.ศ. 1459 ได้มีการพิพากษาครั้งใหญ่ เป็นผลให้มีการเผาหมู่ชาวเมืองอาราส ในข้อหานอกรีตและประกอบพิธีกรรมทางไสยเวทย์ ดังที่เคยกล่าวไปแล้วในตอนต้น

ศาสนจักรเริ่มยืนมือศักดิ์สิทธิ์อันเปื้อนเลือด เข้ามาเกี่ยวข้องกับการล่าพวกนอกรีต ในช่วงปี 1480 - 1484 มีพระราชโองการจากสำนักพระสันตะปาปา (Papal Bull) ประกาศสำเร็จโทษพวกพ่อมด แม่มด หมอผีทั้งหลายอย่างรุนแรง รวมทั้งห้ามนักบวช ฆราวาส เข้ามาขัดขวางการทำงานของคณะไต่สวน ในคดีที่เรียกว่า "ความเสื่อทรามของพวกนอกรีต" (Heretical Depravities) 

ในจำนวนผู้พิพากษาที่สนองพระโองการดังกล่าวนี้ เป็นชาวโดมินิกันสองคน คือ บาทหลวงไฮน์ริช เครมเมอร์ อดีตเจ้าหน้าที่สอบสวนจากแคว้นไทรอล (อยู่ระหว่างออสเตรียตะวันตกและทางเหนือของอิตาลี) และจาคอบ สเปรนเกอร์(ทางเหนือของสวิสเซอร์แลนด์บนฝั่งแม่น้ำไรน์) ทั้งสองยังได้ร่วมกันแต่หนังสือชื่อ Malleus Maleficarum แปลเป็นภาษาอังกฤษก็คือ Hammer of Witches พูดง่ายๆว่า เป็นคู่มือสำหรับการล่าแม่มด จุตัวอักษรประมาณ 250,000 คำ และนานถึงสองศตวรรษที่พวกกระหายเลือดแม่มดในประเทศต่างๆ เจริญรอยตามวิธีการน่าขยะแขยงในหนังสือเล่มนี้ ซึ่งบอกวิธีจับ พิสูจน์ไต่สวน และเข่นฆ่าแม่มดต่างๆนานา 

แล้วจะกล่าวหาพวกแม่มดอย่างไรดี? อ๋อ... ง่ายมาก เพียงแค่ป่วยก็เพียงพอแล้วที่จะเอาคนคนนั้นเข้าคุก ถึงจะประพฤติตัวดีงามขนาดไหนก็ใช่ว่าจะรอดพ้นไปได้ โดยเฉพาะแล้วพวกรักสันโดษชอบเก็บเนื้อเก็บตัว มักจะถูกสงสัยว่าแอบบูชาภูตผีปีศาจ คนที่ถูกกล่าวหาแทบจะไม่มีโอกาสได้ประกาศความบริสุทธิ์ของตัวเองเลย บางครั้งเหยื่อจะถูกทดสอบโดยการโยนลงน้ำ เพราะถ้าเป็นแม่มดตัวจะลอยขึ้น แต่ถ้าบริสุทธิ์ก็จะจม 

สำหรับคำพิพากษานั้น จะว่าไปก็เหมือนๆกันหมดครับ เมื่อถูกจับขึ้นศาล จำเลยจะเจอคำถามเป็นชุดเกี่ยวกับเวทย์มนตร์คาถาของเขาหรือเธอ หรือเรื่องสัญญากับซาตานและพิธีกรรมแซบบัท ผู้ไต่สวนจะขอให้พวกนอกรีตสารภาพและถามถึงชื่อผู้เกี่ยวข้อง ถ้า"ว่าที่แม่มด"ปฏิเสธคำกล่าวหา ผู้ไต่สวนก็จะถอดเสื้อผ้าและโกนขนตามร่างกาย เพื่อหาสัญลักษณ์ (Telltale Marks) ไม่ว่าจะเป็น ไฝ ฝ้า หูด หรือ ปาน ซึ่งอาจจะเป็นสัญลักษณ์ปีศาจตัวผู้ ในขณะที่ขี้แมลงวันหรือรอยแผลเป็นถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ปีศาจตัวเมีย หลายคนคิดว่าสัญลักษณ์ปีศาจบางรอยจะแก่กล้ามาก มองไม่เห็น แต่ต้องอยู่ตามผิวหนัง ซึ่งบริเวณนั้นจะไม่สะทกสะท้านกับเหล็กแหลมที่ทิ่มแทงลงไป ก็สนุกนักล่าแม่มดใจโหดสิเพราะจะได้สนุกสนานกับการทิ่มแทงเหยื่อ จนกว่าจะพบบริเวณที่ไม่สะทกสะท้านต่อเหล็กแหลม บางรายพรุนเป็นฟองน้ำด้วยกรรมวิธีสอบสวนแบบนี้ก็มี

เมื่อพบสัญลักษณ์ดังกล่าว (แหงสิ ใครกันจะไม่มีไฝฝ้าขี้แมลงวัน หรือปานเล้กๆกันบ้างเล่า) จำเลยก็จะถูกบีบให้รับสารภาพอีกครั้ง หากปฏิเสธก็จะต้องถูกทรมาน ขั้นเบาะๆก็ตอกเล็บ ต่อมาก็ถูกดึงแขนดึงขาขึงพืด หรือไม่ก็เอาตะปูดอกเป้งๆมาตอกขา หรือไม่ก็กระหนาบร่างด้วยเหล็กที่เผาไฟร้อนๆ และวิธียอดนิยมที่เรียกว่า Strappado คือจับเหยื่อเคราะห์ร้ายเปลือยกายล่อนจ้อน มีน้ำหนักถ่วงอยู่ที่ปลายเท้าและชักรอกขึ้นกลางอากาศ รายไหนร่างกายบอบบางก็จะขาดสองท่อน เครื่องในทะลักอย่างน่าสังเวช 

หลังยุคปฏิรูป การทรมานก็ได้รับการดัดแปลงให้สยองขวัญมากขึ้นอีก ในประเทศที่นับถือโปรแตสแตนท์ ในปี ค.ศ. 1594 ซึ่งเป็นยุคที่มีผู้นับถือลัทธิคาลวิน ในสก็อตแลนด์ อลิสัน บาลโฟ ถูกเครื่องมือที่เรียกว่า Caspie Claws บีบรัดแขนเป็นเวล 48 ชั่วโมง ขณะที่สามีของเธอถูกแท่งเหล็กหนัก 700 ปอนด์ทับร่างกายเอาไว้ ลูกชายผู้โชคดีถูกลิ่มเหล็กบดขยี้กระดูกขาอยู่ 48 ครั้ง ลูกสาวอายุเพียงเจ็ดขวบโชคดีที่สุดเพราะเป็นเด็ก ดังนั้นเจ้าพนักงานจึงลงโทษเบาะๆเพียงตอกเล็กให้ทุกนิ้วของเธอแหลกละเอียดเท่านั้น นี่ล่ะครับคือการต้อนรับจำเลย ในระหว่างการกล่อมให้จำเลยรับสารภาพว่าเป็นพ่อมดแม่มด เพราะเหตุนี้ จำเลยน้อยคนนักที่จะรอดชีวิตมาได้ก่อนที่การบันทึกการสารภาพจะกระทำเสร็จสิ้น 

โหดกว่าการล่าพวกนอกรีตในเรื่อง Berserk เสียอีกใช่ไหม? ยิ่งผู้ไต่สวนมโหดมากเท่าไหร่ จำนวนคนตายก็ยิ่งมากขึ้นเป็นเงาตามตัว แถวๆเมืองเทรฟซึ่งปัจจุบันอยู่ในเยอรมัน มีหญิงที่ทั้งสาวและไม่สาวจำนวน 368 คน จากหมู่บ้าน 22 แห่ง ทยอยกันถูกฆ่าตายในรอบหกปี เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด (คิดๆแล้วตกเดือนละห้าคน ขยันฆ่ากันดีจังนะ) ส่วนท่านบิชอบเวิร์สเบิร์ก แห่งต้นศตวรรษที่ 16 นั้น ใจบุญสั่งเผาคนที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นแม่มดไป 900 กว่าศพ ไม่ยกเว้นเด็ก ผู้หญิงและคนชรา เรียกได้ว่าท่านเผามาแล้วทุกชั้นวรรณะเลยก็ว่าได้ 

การเผา ฆ่า ทรมาน มีมานานจนข้ามศตวรรษ จนลุมาถึงศตวรรษที่ 17 ทัศนคติหรือแนวความคิดใหม่ๆที่ใช้เหตุและผล จึงได้มีการแพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างเช่นประเทศเนเธอร์แลนด์ได้มีกฏหมาย ยกเลิกการสำเร็จโทษพ่อมดแม่มด แต่กว่าประเทศอื่นจะพากันทำตาม ก็ปาเข้าไปปลายศตวรรษที่ 17 แน่ะ และแล้วยุคนองเลือดของแม่มดก็ค่อยๆหายไป แต่ก็นั่นล่ะ ผู้บริสุทธิ์ที่ล้มตายไปเพราะความทารุณ ก็หาได้ฟื้นคืนชีพกลับมาไม่ เป็นที่รู้กันว่า คนไม่ต่ำกว่าแสนคนถูกฆ่าตายในเยอรมัน ฝรั่งเศสนั้นก็ปาเข้าไปหลายหมื่นอยู่ และที่น้อยที่สุดก็คงเป็นที่เมืองผู้ดีอังกฤษเค้านั่นล่ะครับ (สงสัยว่าตาคนเขียนเค้าจะเป็นชาวอังกฤษแฮะ) ซึ่งยอดโดยรวมประมาณสองแสนกว่าคนตามสถิติอย่างเป็นทางการ แต่นักประวัติศาสตร์บางท่านบอกว่าจำนวนจริงๆปาเข้าไปเกือบล้านคนแน่ะ ไม่ธรรมดาเลยใช่ไหม? 

นี่ล่ะครับ เรื่องมดๆที่ไม่มดเหมือนชื่อ เป็นเรื่องช้างที่ทำให้คนตายเหยียบล้านในเวลาชั่วสามศตวรรษ สาเหตุที่แท้จริง อาจจะมาจากเรื่องศาสนา ความเชื่อ ความดี หรืออะไรก็ตามแต่ ทว่า สาเหตุหลักๆตามความคิดของผมก็คือ มันเป็นข้ออ้างของพวกกระหายอำนาจมากกว่า ซึ่งปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบและการกล่าวหา ให้ทันสมัยขึ้นตามกาลเวลาเท่านั้นเอง 

ล่าแม่มดในยุโรป..



เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ความกลัวเรื่องเวทมนตร์เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการไล่ล่าและสังหารแม่มดทั่วทั้งยุโรป นับตั้งแต่ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ทางเหนือของอิตาลี และประเทศที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เช่น เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ หนังสือล่าแม่มดในโลกตะวันตก 

 * (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “คนนับพันนับหมื่นในยุโรปและอาณานิคมของชาวยุโรปต้องตาย” และ “คนอีกนับล้าน ๆ อยู่ด้วยความหวาดกลัว ถูกรังเกียจ ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกจับกุม ถูกสอบสวน หรือถูกทรมาน” ความหวาดกลัวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? อะไรทำให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลาย?

ศาลศาสนาและคู่มือการล่าแม่มด

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือศาลศาสนา หนังสือเล่มหนึ่ง (Der Hexenwahn) อธิบายว่า คริสตจักรโรมันคาทอลิกได้ตั้งศาลศาสนาขึ้นในศตวรรษที่ 13 “เพื่อดึงคนที่ตีตัวออกห่างจากคริสตจักรกลับมา และป้องกันไม่ให้คนอื่นออกไป”
ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1484 โปปอินโนเซนต์ที่ 8 ได้ออกเอกสารหรือสารตราฉบับหนึ่งซึ่งกล่าวว่าการใช้เวทมนตร์เป็นความผิดร้ายแรง เขายังได้มอบอำนาจให้ผู้สอบสวนสองคนไปสะสางปัญหานี้ ซึ่งก็คือจาคอบ สเปรนเกอร์และไฮน์ริช เครเมอร์ (ชื่อภาษาละตินคือเฮนริคุส อินสทิทอริส) จากนั้นชายสองคนนี้ได้ทำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาชื่อมาเลอัส มาเลฟิคารัม ซึ่งก็คือคู่มือการล่าแม่มด (The Hammer of Witches) ทั้งพวกคาทอลิกและโปรเตสแตนต์พร้อมใจกันขานรับหนังสือเล่มนี้เพราะถือเป็นอำนาจเด็ดขาดในการปราบปรามพวกแม่มด คู่มือเล่มนี้มีเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการเกี่ยวกับแม่มดโดยอิงนิทานพื้นบ้านเป็นหลัก และยกสารพัดเหตุผลทั้งทางศาสนาและกฎหมายขึ้นมาต่อต้านพวกที่ใช้เวทมนตร์ ทั้งยังบอกวิธีสังเกตดูว่าคนไหนเป็นแม่มดและวิธีปราบพวกแม่มด กล่าวกันว่าคู่มือการ ล่าแม่มด เล่มนี้เป็น “หนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดและ . . . อันตรายที่สุดในบรรดาหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่บนโลก”
คู่มือการล่าแม่มด ถูกเรียกว่า “หนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดและ . . . อันตรายที่สุดในบรรดาหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่บนโลก”
ข้อกล่าวหาเรื่องการใช้เวทมนตร์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานว่ามีความผิด ดังที่หนังสือเล่มหนึ่ง (Hexen und Hexenprozesse) กล่าวว่า การพิจารณาคดีต่าง ๆ มีจุดประสงค์ “เพียงเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหายอมรับสารภาพโดยใช้วิธีเกลี้ยกล่อม กดดัน หรือถึงกับบีบบังคับ” การทรมานผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
สารที่ออกโดยโปปอินโนเซนต์ที่ 8 และคู่มือการล่าแม่มด เล่มนี้ส่งผลให้เกิดการกวาดล้างแม่มดครั้งใหญ่ในยุโรป นอกจากนั้น การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพิมพ์ยังช่วยกระพือความบ้าคลั่งในการล่าแม่มดให้ไปไกลถึงทวีปแอตแลนติกและอเมริกาด้วย

ใครเป็นผู้ต้องสงสัย?

มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ต้องสงสัยเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะพวกแม่ม่ายที่มักไม่มีใครคอยปกป้องคุ้มครอง คนที่ตกเป็นเหยื่อรวมถึงคนยากจน คนเฒ่าคนแก่ และพวกผู้หญิงที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคให้คนอื่นแต่กลับไม่ได้ผล ไม่ว่าจะยากดีมีจน ชายหรือหญิง คนสูงศักดิ์หรือคนต่ำต้อยก็มีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยกันทั้งนั้น
ผู้ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดจะถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนตร์ทำสิ่งชั่วสารพัด วารสารดามาลส์ ในเยอรมนีบอกว่า พวกแม่มด “ทำให้เกิดน้ำค้างแข็ง หรือร่ายมนตร์เรียกหอยทากและหนอนบุ้งมากัดกินพืชผักผลไม้บนโลกจนเสียหายย่อยยับ” และถ้าลูกเห็บตกจนทำให้พืชผลเสียหาย วัวไม่มีน้ำนมให้รีด ผู้ชายไร้สมรรถภาพทางเพศ และผู้หญิงเป็นหมัน พวกแม่มดก็ต้องเจอข้อหาไปเต็ม ๆ!







แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นแม่มด? ผู้ต้องสงสัยบางคนจะถูกมัดมือมัดเท้าและจับถ่วงในบ่อน้ำ “ศักดิ์สิทธิ์” ที่เย็นจัด ถ้าเขาจมก็แสดงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และจะถูกดึงขึ้นมา แต่ถ้าลอยก็จะถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดและถูกประหารที่นั่นหรือถูกส่งไปทรมาน ส่วนผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ จะถูกนำไปชั่งน้ำหนัก เนื่องจากมีความเชื่อว่าแม่มดจะตัวเบามาก ๆ หรือไม่มีน้ำหนักเลย
วิธีตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งตามที่หนังสือล่าแม่มดในโลกตะวันตกกล่าวไว้คือ การตรวจหา “รอยปิศาจ” ซึ่งเป็น “รอยที่ปิศาจทิ้งไว้แทนคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่มด” เจ้าหน้าที่จะหารอยปิศาจนี้โดยโกนผมและขนทุกเส้นบนร่างกายของผู้ต้องสงสัย จากนั้นก็ตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมต่อหน้าผู้คนในที่สาธารณะ! พวกเขาจะเอาเข็มแทงตามจุดต่าง ๆ เช่น หูด ไฝ ปาน และรอยแผลเป็น ถ้าแทงแล้วไม่เจ็บหรือเลือดไม่ออก แสดงว่าจุดนั้นเป็นรอยปิศาจสัญลักษณ์แห่งซาตาน
รัฐบาลต่าง ๆ ทั้งที่เป็นคาทอลิกและโปรเตสแตนต์สนับสนุนการล่าแม่มด แต่พวกผู้ปกครองบางเขตของโปรเตสแตนต์กลับโหดร้ายยิ่งกว่าพวกคาทอลิกเสียอีก แต่ในเวลาต่อมา เหตุผลก็มีชัยชนะเหนือความกลัวแบบผิด ๆ เช่น ในปี ค.ศ. 1631 ฟริดริค ชเพ บาทหลวงนิกายเยซูอิตซึ่งเคยมีส่วนร่วมในการจับหลายคน “ที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด” ไปเผาทั้งเป็นบนเสา ได้เขียนไว้ว่าตามความคิดของเขาแล้วคนพวกนั้นไม่มีความผิดอะไรเลย และถ้าการล่าแม่มดอย่างดุเดือดยังมีต่อไปเรื่อย ๆ เขาเตือนว่าแผ่นดินจะร้างเปล่าไร้ผู้คน! ในขณะเดียวกันแพทย์ก็เริ่มเข้าใจว่าอาการต่าง ๆ เช่น อาการชัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถูกผีสิงแต่เป็นปัญหาทางสุขภาพ นี่ทำให้การล่าแม่มดลดลงอย่างฮวบฮาบในช่วงศตวรรษที่ 17 และพอสิ้นศตวรรษนี้ก็ไม่มีการล่าแม่มดอีกเลย
เราได้เรียนรู้อะไรจากยุคที่น่าเกลียดน่ากลัวนี้? จุดสำคัญคือ เมื่อพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนเริ่มนำเอาเรื่องโกหกต่าง ๆ ทางศาสนาและเรื่องเวทมนตร์คาถาเข้ามาแทนคำสอนอันบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ พวกเขากำลังเปิดประตูให้กับความชั่วช้ามากมาย คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์จะทำให้ศาสนาคริสเตียนถูกตำหนิ และเตือนว่า “ทางของความจริงจะถูกกล่าวร้าย”