วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Le Roi Soleil - พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศส

พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีพระนามเดิมว่า หลุยส์-ดิเยอดองเน (Louis-Dieudonné) สมัยประทับอยู่ที่พระราชวังแซงค์-แชร์แมง-ออง-เลย์ (วันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1638) ต่อมามีพระนามว่า เลอรัว-โซแลย (le Roi-Soleil) ซึ่งแปลว่า สุริยกษัตริย์ เริ่มใช้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ค.ศ. 1715 เมื่อพระองค์ประทับที่แวร์ซายส์ (Versailles) และพระนามต่อมาคือ หลุยส์ เลอ กรองด์ (Louis le Grand) แปลว่าหลุยส์ผู้ยิ่งใหญ่ เริ่มใช้วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1643 จนกระทั่งพระองค์สวรรคต พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศส แลพระมหากษัตริย์พระองค์ที่ 3 แห่งนาวาร์ พระองค์มีเชื้อสายทั้งราชวงศ์บูร์บงและราชวงศ์กาเปเตียง พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ครองราชย์เป็นเวลา 72 ปี จัดว่าเป็นผู้ที่ครองประเทศฝรั่งเศสนานที่สุด อีกทั้งยังเป็นพระมหากษัตริย์ในที่ครองราชย์นานที่สุดในยุโรปอีกด้วย
พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ไม่กี่เดือนก่อนวันครบรอบวันพระราชสมภพ ซึ่งจะมีพระชันษา 5 ปี แต่สมัยนั้น (ค.ศ.1648- ค.ศ.1652) มีกบฏฟรองด์ (Fronde) ทำให้หน้าที่ของพระองค์มีอย่างเดียวคือ ควบคุมรัฐบาล เนื่องจากนายกรัฐมนตรี เลอ คาร์ดินาล มาซาแร็ง (le Cardinal Mazarin) หรือสังฆราชมาซาแร็ง เสียชีวิตในปี ค.ศ.1661 ออย่างไรก็ตามพระองค์ไม่แต่งตั้งผู้ใดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีและประกาศว่า จะบริหารประเทศด้วยพระองค์เอง หลังจากคณะรัฐมนตรีของกอลแบรต์ (Colbert) ครบวาระ (หรือหมดอำนาจในการบริหารประเทศ) ในปี ค.ศ.1683 และของลูวัร์ (คณะรัฐมนตรีของลูวัร์นี้ขึ้นตำแหน่งต่อจากลูแบร์) ครบวาระในปี ค.ศ.1691
สมัยของพระองค์โดดเด่นในเรื่องโครงสร้างของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช (สิทธิกษัตริย์ = เทพที่มาจากสวรรค์) ประโยชน์ของพระราชอำนาจอันเด็ดขาดของพระองค์ทำให้ความวุ่นวายต่างๆหมดสิ้นไปจากฝรั่งเศส อาทิเช่นเรื่องขุนนางก่อกบฏ (สมัยพระเจ้าหลุยส์ 14 ไม่มีขุนนางผู้ไหนกล้าก่อกบฏ เพราะพระองค์มีพระราชอำจนาจเด็ดขาด) เรื่องการประท้วงของสภา เรื่องการจลาจลของพวกนิกายโปรแตสแตนท์และชาวนา ซึ่งเรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสมานานเป็นเวลามากกว่า 1 ทศวรรษแล้ว
ขณะที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสสวรรคต ขณะนั้นพระเจ้าหลุยส์ 14 มีพระชนมายุเพียง 5 ชันษา เนื่องจากพระองค์ยังทรงพระเยาว์มาก พระราชมารดาของพระองค์จึงทำหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการแทน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ส่วนสังคราชมาซาแร็งเป็นผู้อุปถัมภ์พระเจ้าหลุยส์ ดิเยอดองเน ท่านรับผิดชอบด้านการศีกษาเพื่อที่จะให้พระเจ้าหลุยส์ขึ้นเป็นกษัตริย์ในอนาคต ซึ่งการศึกษานี้จะเน้นหนักไปด้านปฏิบัติ มากกว่าด้านความรู้ ซึ่งเป็นที่เข้าใจว่า สังฆราชมาซาแร็งใช้อำนาจโดยผ่านลูกอุปถัมภ์ของท่านเอง ซึ่งก็คือหลุยส์ดิเยอดองเน สังฆราชมาซาแร็งถ่ายทอดความชื่นชอบในด้านศิลปะให้หลุยส์ดิเยอดองเนและสอนความรู้พื้นฐานด้านการทหาร, การเมืองและการทูต อีกทั้ง สังฆราชผู้นี้ยังนำหลุยส์ดิเยอดองเนเข้าร่วมในสภาเมื่อปี ค.ศ.1650
พระองค์ได้ทรงลดทอนอำนาจของชนชั้นสูงที่เชี่ยวชาญในการรบ ด้วยมีรับสั่งให้พวกเขาเหล่านั้นรับใช้พระองค์เช่นเดียวกับเหล่าสมาชิกในราชสำนัก อันเป็นการถ่ายโอนอำนาจมายังระบบธุรการแบบรวมศูนย์ และทำให้พวกเขาเหล่านั้นกลายเป็นชนชั้นสูงที่ใช้สติปัญญา พระองค์ทรงดำริให้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ขึ้นในอุทยาน โดยมีการจัดสวนให้เป็นรูปทรงเราขาคณิต พระราชวังแวร์ซายที่มีขนาดใหญ่นี้ตั้งอยู่ห่างออกไปราว 15 กิโลเมตรทางตะวันตกของกรุงปารีส ที่เมืองแวร์ซาย ในเขตปริมณฑลของกรุงปารีส


วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ตุ๊กตาหมี ช่วยคนไข้โรคสมองเสื่อม มีคุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าเดิม..


คณะนักวิจัยได้ความคิด หลังจากเห็นคนไข้คนหนึ่งติดแจอยู่กับตุ๊กตาหมี ของลูกชาย ไม่แต่เพียงผูกพันและแสดงความรักเท่านั้น มันยังช่วยให้ คนไข้มีเรื่องที่จะพูดคุยขึ้นอีกด้วย 

นักวิทยาศาสตร์ได้เสนอรายงานการศึกษาในที่ประชุมสมาคมจิตวิทยาอังกฤษ กล่าวว่า มันช่วยให้คนไข้แสดงปฏิกิริยากับคนอื่น แสดงความเอาใจใส่กับสิ่งซึ่งเกิดความรู้สึกของความเป็นเจ้าของและรับผิดชอบ ทั้งตุ๊กตายังดูเหมือนช่วยบรรเทาความเร่าร้อนหรือความคับข้องใจ ทำให้กล้าติดต่อสื่อสารและถอนความรู้สึกเก็บหรือแยกตัวน้อยลง 

จากการทดลองขนาดเล็ก แจกตุ๊กตาหรือ ตุ๊กตาหมี ให้กับคนไข้ 14 ราย คนละตัว และคอยดูอาการเมื่อครบ 3 เดือน พบว่า พวกคนไข้มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่และคนอื่นมากขึ้น คนไข้บางคนซึ่งไม่ยอมพูดจากับใครเลยก็เริ่มพูด “ กล่าวได้ว่า ตุ๊กตาแม้ไม่ได้ถึงกับช่วยให้อาการกลับคืนดี หากแต่ดูเหมือนมันจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตเพิ่มขึ้น”.
จาก นสพ.ไทยรัฐ

ตุ๊กตาหมีตัวละ 6 ล้าน O.o


หมีขนชมพูฟูฟ่องน่ากอด น่าหอม ตัวบิ๊กตัวนี้ ไม่ได้มีดีที่ความหนานุ่มน่ารักของเจ้าหมีที่เหมือนส่งสายตาอ้อนวอนให้ใครได้หลงเสน่ห์ในตัวมันแต่อย่างใด แต่ทุกสายตากลับจับจ้องที่มงกุฎเพชร 9.4 กะรัต ที่แซมประดับด้วยบุษราคัมสีชมพู อีก 2.7 กะรัต ประดับหราโดดเด่นปิดบังความน่ารักของเจ้าหมีพิ้งกี้เสียสิ้น 

เจ้าหมีเลอค่าตัวนี้ มีส่วนสูงประมาณ 130 เซนติเมตร สำหรับไซส์ใหญ่ จะเริ่มต้นวางขายที่ห้างทากาชิมาย่า ในย่านนิฮอนบาชิ ย่านชอปปิ้งอีกหนึ่งย่านในกรุงโตเกียว สนนราคา ฟังดูแล้วจะบอกว่าเป็น ตุ๊กตาหมี ที่มีมูลค่าแพงที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา ด้วยมูลค่าถึง 20,060,000 เยน หรืออยู่ที่ประมาณ 6,630,000 บาท รวมภาษีแล้ว โดยจะเริ่มวางขายตั้งแต่วันดีวันที่ 1 พฤศจิกายน 2549 เป็นต้นไป โดยหมีตัวนี้เป็นหนึ่งในสินค้าไฮไลท์ของช่วงคริสต์มาสประจำห้างนี้ด้วย 

นับเป็นหมีที่มีค่าตัว(หัว)แพงจริง ๆ


เผย 9 ความลับเรื่องแมวที่คุณอาจไม่เคยรู้ !


แมว เป็นสัตว์อีกหนึ่งชนิดที่ปรากฏอยู่ในเรื่องเล่าต่าง ๆ มากมาย และถูกเล่าต่อกันมาจนกลายเป็นความเชื่อที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นความเชื่อทางด้านศาสนา ประวัติศาสตร์ หรือนิสัยของแมวบางอย่างที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ หลาย ๆ คนอยากรู้ว่า สัตว์ที่ดูนิ่งเงียบ ลักษณะท่วงท่าการเดินที่สง่างามเหล่านี้ มีความลับอะไรที่เจ้าของอย่างเรา ๆ ยังไม่รู้อีกหรือไม่ วันนี้เราก็เลยนำความลับของแมวมาเปิดเผย

1. เชื่อว่าแมวจะขโมยลมหายใจของทารก

           จริง ๆ แล้วแมวไม่ได้มีเจตนาร้ายใด ๆ กับทารกของคุณหรอกนะคะ เพียงแต่ว่าพวกมันชอบหาที่อบอุ่น ๆ และสบาย ๆ นอน ซึ่งลมหายใจของทารกเป็นอุณหภูมิที่แมวต้องการพอดี ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แมวชอบเข้าไปคลุกคลีกับทารกบ่อย ๆ เท่านั้นเอง แต่ทั้งนี้คุณก็ไม่ควรให้แมวเข้าใกล้ทารกของคุณมากเกินไปเพราะเด็กอาจจะติดเชื้อโรค หรืออาจจะทำให้ทารกเกิดภูมิแพ้ได้ 

 2. เชื่อว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรเลี้ยงแมว

           จริง ๆ แล้วผู้หญิงที่ตั้งครรภ์นั้นไม่ควรสัมผัสตัวแมว หรือทำอะไรเกี่ยวกับแมวบ่อยนัก เพราะอาจจะทีโอกาสติดเชื้อท็อกโซพลาสโมซิสจากแมวได้ โดยเฉพาะในช่วงสามเดือนแรก ซึ่งหากทารกติดเชื้ออาจจะเกิดอาการสมองบวมน้ำ ประสาทตาอักเสบ หรืออารมณ์ผิดปกติ ฉะนั้นหญิงตั้งครรภ์จึงควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสตัวแมว และของใช้ที่เกี่ยวกับแมวทั้งหมดดีกว่า 

 3. เชื่อว่าแมวดำคือสัญลักษณ์ของความโชคร้าย 

           จากผลการสำรวจผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้ในปี 2000 พบว่าผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่เกิดจากการสัมผัสแมวขอสีดำ หรือแมวขนสีเข้มมากกว่าแมวขนสีอ่อน ๆ ถึง 4 เท่า นั่นเป็นเพราะว่าตามผิวหนัง และในน้ำลายของพวกแมวขนสีดำ หรือแมวขนสีเข้มมีสารสำคัญในการก่อภูมิแพ้ที่เรียกว่า Fel.d1 สะสมอยู่มากกว่าแมวขนสีอ่อน ด้วยสาเหตุนี้เองที่ทำให้หลาย ๆ คนเชื่อว่าแมวดำจะความโชคร้ายมาให้นั่นเอง 

 4. เชื่อว่าแมวมี 9 ชีวิต 

           ความเชื่อที่ว่าแมว มี 9 ชีวิตนั้นถูกเล่าขานเป็นตำนานกันออกไปต่าง ๆ นานาทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็นในประเทศแถบยุโรป เอเชีย อเมริกา หรือแอฟริกา โดยเฉพาะในประเทศอียิปต์ที่นับถือว่า แมวเป็นตัวแทนของเทพเจ้าเลยทีเดียว เหตุที่ทำให้ผู้คนต่างคิดว่าแมวมี 9 ชีวิตอาจจะเนื่องมาจากว่า ลำตัวของแมวมีความยืดหยุ่นสูง จึงทำให้สามารถกระโดดจากที่สูงได้โดยไม่บาดเจ็บ และแมวก็สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยอยู่กับผู้คนเท่านั้นเอง 

 5. เชื่อว่าแมวสามารถลงพื้นได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง 

           ถึงแม้แมวจะมีร่างกายที่ยืดหยุ่นสูง แต่ก็ใช่ว่าพวกมันจะกระโดดลงจากที่สูงลงมาได้อย่างปลอดภัยเสมอไป เพราะแมวก็มีสิทธิ์พลาด และพลั้งเผลอตกลงมาได้เช่นกัน ดังนั้นในบางครั้งแมวก็มีโอกาสเกิดบาดแผล และเกิดอาการบาดเจ็บได้เช่นกัน 
6. เชื่อว่าเสียงครางหมายถึงแมวกำลังมีความสุข 

           เสียงครางเป็นเสียงแรกที่แมวสามารถทำได้ ตั้งแต่อายุน้อย เพราะในขณะนั้นพวกมันไม่สามารถทำเสียงสูง หรือเสียงต่ำได้ จึงทำให้คุณได้ยินเสียงครางบ่อย ๆ และเข้าใจว่าแมวกำลังมีความสุข ฉะนั้นเสียงครางจึงไม่ได้หมายความว่าพวกมันกำลังมีความสุขเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่อาจจะกำลังสื่อสารให้คุณรู้ว่าพวกมันกำลังป่วย หรือบาดเจ็บอยู่ก็เป็นได้ 

 7. เชื่อว่าแมวไม่ชอบน้ำ 

           ก็ใช่ว่าแมวทุกตัวจะกลัว หรือไม่ชอบน้ำเสมอไปหรอกนะคะ เพราะแมวบางตัวก็ชอบเล่นน้ำเหมือนกัน อย่างเช่นแมวสายพันธุ์ เตอร์กิชแวน ที่รักการว่ายน้ำเป็นชีวิตจิตใจ จนได้รับฉายาว่า "Swimming cat" เลยทีเดียว แต่ที่เราเห็นว่าแมวเลี้ยงส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใกล้จุดที่มีแหล่งน้ำสักเท่าไหร่ ก็เพราะแมวคิดว่ามันไม่คุ้มกับการที่จะต้องหาเรื่องทำให้ตัวเองเปียก เพื่อแลกกับปลาตัวเล็ก ๆ ในสระ ทั้ง ๆ ที่มีอาหารจานใหญ่รออยู่ตรงหน้าแล้วนั่นเอง

 8. เชื่อว่าแมวเป็นสัตว์หากินกลางคืน 

           นั่นเป็นเพราะสายตาของแมวสามารถมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านแสงสว่างน้อย ๆ หรือความมืดในกลางคืนได้ดีกว่าแสงสว่างในตอนกลางวัน โดยเฉพาะในช่วงเวลาโพล้เพล้ หรือใกล้ค่ำ จะเป็นเวลาที่เหมาะกับการล่าเหยื่อมากที่สุด แต่ก็ใช่ว่าแมวจะสามารถมองเห็นแม้ในที่มืดสนิทได้หรอกนะ 

 9. เชื่อว่าแมวชอบความสันโดษ 

           ถึงแม้แมวจะได้อยู่รวมกันเป็นฝูงเหมือนสัตว์ชนิดอื่น ๆ แต่พวกมันก็จะอาศัยอยู่ในพื้นที่บริเวณเดียวกัน หรือบริเวณใกล้ ๆ กับแหล่งอาหารของพวกมันนั่นเอง โดยเฉพาะแมวเพศผู้ที่มีอายุประมาณ 18 เดือนขึ้นไป ก็จะออกไปหากินตัวเดียวมากกว่าแมวเพศเมีย ดังนั้นหากคุณไม่อยากให้แมวที่คุณเลี้ยงหนีออกไปอยู่นอกบ้าน ก็ควรจะเลี้ยงแมวตั้งแต่พวกมันอายุ 8 - 10 เดือน และควรเลี้ยงสองตัวขึ้นไป ก็จะทำให้พวกมันมีนิสัยอยู่ติดบ้านมากกว่า เลี้ยงแมวมีอายุ หรือเลี้ยงแมวแค่เพียงตัวเดียว