วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประตูชัยฝรั่งเศส (Arc de Triomphe)


 หนึ่งในอนุสรณ์สถานที่โด่งดังที่สุดในกรุงปารีส เริ่มก่อสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1810 หลังจากจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้รับชัยชนะในยุทธการเอาสเตอร์ลิทซ์ จุดประสงค์เพื่อเป็นการสดุดีวีรชนทหารกล้าที่ได้ร่วมรบเพื่อประเทศฝรั่งเศส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามนโปเลียน และในปัจจุบันยังเป็นสุสานของทหารนิรนามอีกด้วย
 ประตูชัยมีขนาดใหญ่มาก มองเห็นได้จากในระยะไกล มีความสูง 49.5 เมตร กว้าง 45 เมตร และลึก 22 เมตร เป็นประตูชัยที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก หากคุณได้ไปเดินช็อปปิ้ง บนถนนช็องเซลิเซ คงไม่พลาดที่จะไปถ่ายรูปคู่กับ ประตูชัย หรือขึ้นไปถ่ายรูปมุมสูงของถนนช็องเซลิเซอย่างแน่นอน

งานคาร์นิวัลที่เมืองนีซ (Le Carnival de Nice )

Le Carnival de Nice 
     งานคาร์นิวัลที่เมืองนีซ นั้นเป็นหนึ่งในงานคาร์นิวัลหลักๆ ของโลก นอกจาก งานคาร์นิวัลที่บลาซิล และ งานคาร์นิวัลที่เวนิช อิตาลี เลยทีเดียว ซึ่งงานนี้จะจัดขึ้นทุกๆ ปีประมาณเดือน กุมพาพันธ์ ใน เมือง นีซ ประเทศ ฝรั่งเศส จากบันทึกแสดงให้เห็นว่า งานคาร์นิวัลนี้มีมาตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1294 โดย ท่านเคาท์แห่งปรอแวนส์ (Count of Provence ) ได้จัดงานเฉลิมฉลองขึ้น จึงมีการสันนิฐานว่าเป็นจุดกำเนิดของงานคาร์นิวัลที่เมืองนิซแห่งนี้ โดยแต่ละปี งานคาร์นิวัลที่เมืองนีซมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชมมากว่า 1,000,000 คนต่อดี ซึ่งมีการจัดงานยาวถึง 2 สัปดาห์เลยทีเดียว 



วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

10 เหตุผลดีๆที่ควรรู้เกี่ยวกับภาษาฝรั่งเศส..

1. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่มีคนใช้พูดเป็นภาษาแม่และภาษาที่สองถึง 128 ล้านคน โดยเฉพาะในประเทศฝรั่งเศส แคนาดา(รัฐควิเบก) สวิซเซอแลนด์ เบลเยี่ยม นอกจากนี้ทางฝั่งแอฟริกาก็มีประเทศที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสด้วยเช่นกัน
ควิเบก,แคนาดา

เบลเยี่ยม

2. ฝรั่งเศสเป็นมหาอำนาจทางด้านเศรษฐกิจอันดับ 4 ของโลก นอกจากนี้ประเทศฝรั่งเศสยังเป็นแม่แบบในกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่งถ้าสนใจที่จะเรียนต่อในด้านนิติศาสตร์แล้วละก็การมีความรู้ในด้านภาษาฝรั่งเศสไว้นั้น นับว่าได้เปรียบคนอื่นอยู่มากๆเลยทีเดียว

3. ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทษที่มีชื่อเสียงทางด้านวัฒนธรรม ทั้งด้านอาหาร แฟชั่น ศิลปกรรม ภาพยนตร์และวรรณกรรมต่างๆมากมาย เพราะฉะนั้นแล้ว น้องๆที่มีความสนใจทางด้านศิลปะวัฒนธรรม ก็ไม่ควรพลาดที่จะมีความรู้ด้านภาษาฝรั่งเศสไว้ประดับสมอง

4. ครั้งหนึ่งในชีวิตมนุษย์ ถ้ามีโอกาสได้ท่องเที่ยวในต่างประเทศ รับรองว่าหนึ่งในประเทศที่น้องใฝ่ฝันต้องมีประเทศฝรั่งเศสอยู่แน่นอน เพราะประเทศฝรั่งเศสมีสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวมากมาย เช่น กรุงปารีส พระราชวังแวร์ซาย พิพิธภัณฑ์ลูฟ และสถานที่น่าสนใจในแคว้นต่างๆอีกมากมาย



5. รัฐบาลฝรั่งเศสมีนโยบายมอบทุนการศึกษาในระดับปริญญาโท หรือที่เรียกกันว่า ทุนไอเฟล ให้นักเรียนต่างชาติรวมถึงนักเรียนไทย ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในมหาลัยของประเทศฝรั่งเศส ในสาขาวิชาต่างๆมากมาย เช่น วิทยาศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และบริหารธุรกิจ นอกจากนี้ยังมีทุน Haif scholarships ซึ่งเป็นทุนศึกษาในระดับปริญญาเอกอีกด้วย

6. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาทางการขององค์กรณ์ระหว่างประเทศที่สำคัญหลายองค์กรณ์ เช่นสหประชาชาติ สหภาพยุโรป องค์การยูเนสโก้ และยังเป็นภาษาที่ใช้ใน 3 เมืองสำคัญของทวีปยุโรป นั่นคือ Strasbourg , Bruxells , Luxemburg




7. ภาษาฝรั่งเศสมีความสำคัญเป็นอันดับ 3 ในโลกอินเตอร์เน็ต ดังนั้นการที่เรารู้ภาษาฝรั่งเศสก็จะทำให้เราสามารถรับรู้และเข้าใจข่าวสารของหลายๆประเทศในโลก

8. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ง่ายต่อการเรียนรู้ ชาวยุโรปส่วนใหญ่จึงนิยมเรียนภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ 2 รองจากภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นไม่ว่าน้องจะหลงอยู่ในประเทศใดในนยุโรป ถ้าน้องสามารถสื่อสารภาษาฝรั่งเศสได้ โอกาสที่น้องจะเอาตัวรอดได้มีสูงมาก

9. การเข้าใจภาษาฝรั่งเศสสามารถช่วยต่อยอดในการเรียนภาษาอื่นๆ เพราะภาษาฝรั่งเศสทีรากศัพท์มาจากภาษาละติน และกว่า 50% ของภาษาอังกฤษในปัจจุบัน มีส่วนคล้ายกับภาษาฝรั่งเศส นับว่าเป็นโอกาสดีของเด็กไทยที่จะเรียนรู้ภาษาฝรั่งเศสได้ง่ายขึ้น

10. ภาษาฝรั่งเศสเป็นภาษาที่ไพเราะมาก จนถึงมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นภาษาฝรั่งเศสจึงถูกเรียกว่าเป็นภาษาแห่งความรักกันเลยทีเดียว

พิพิธภัณฑ์ลูฟ (Louvre Museum)

พิพิธภัณฑ์ลูฟ (ฝรั่งเศส: Musée du Louvre อังกฤษ: Louvre Museum) หรือในชื่อทางการว่า the Grand Louvre เป็นพิธภัณฑ์ทางศิลปะ ตั้งอยู่ในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นพิพิธภัณ์ที่มีชื่อเสียงที่สุด เก่าแก่ที่สุด และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก 

พิพิธภัณฑ์ลูฟ มีประวัติความเป็นมายาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์คาเปเทียง ตัวอาคารเดิมทีเคยเป็นพระราชวังหลวง ซึ่งปัจจุบันเป็นสถานที่ที่จัดแสดงและเก็บรักษาผลงานทางศิลปะที่ทรงคุณค่า ระดับโลกเป็นจำนวนมาก อย่างเช่น ภาพเขียนโมนาลิซา, The Virgin and Child with St. Anne, Madonna of the Rocks ผลงานของเลโอนาร์โด ดาวินชี หรือภาพ Venus de Milo ของอเล็กซานดรอสแห่ง Antioch ในปี พ.ศ. 2549 

พิพิธภัณฑ์ลูฟแห่งนี้ มีผู้มาเยี่ยมชมเป็นจำนวน 8.3 ล้านคน ทำให้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีผู้มาเยี่ยมชมมากที่สุดในโลก และยังเป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวมาเยือนมากที่สุดในกรุงปารีส

พีระมิดแก้ว ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สมัยใหม่ของพิพิธภัณฑ์ลูฟ พีระมิดแก้วนี้ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ.1989 ซึ่งสร้างขึ้นมาภายหลังพิพิธภัณฑ์ลูฟถึงเกือบ 200 ปี จุดประสงค์ก็เพื่อให้เป็นทางเข้าใหม่ของพิพิธภัณฑ์ ซึ่งเชื่อมต่อกับส่วนขยายของแกลเลอรี่และคอมเพล็กซ์ใต้ลานของพิพิธภัณฑ์

นอกเหนือจากพีระมิดหลักที่เป็นทางเข้า ก็ยังมีพีระมิดขนาดเล็กอีก 3 หลังอยู่รายรอบ และนอกเหนือจากความสวยงามแล้ว พีระมิดเหล่านี้ยังทำหน้าที่รับแสงสว่างจากธรรมชาติให้ส่องทะลุลงไปยังคอมเพล็กซ์ด้านล่างได้

พิพิธภัณฑ์ลูฟออกแบบโดย ไอ. เอ็ม. เป หรือ เหย่ว หมิง เป่ย เป็นสถาปนิกชาวจีน-อเมริกัน งานออกแบบของ ไอ. เอ็ม. เป จะมีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น โดยมีการใช้ หิน คอนกรีต แก้ว และ เหล็กเป็นส่วนใหญ่ ไอ. เอ็ม. เป ได้รับรางวัลพริตซ์เกอร์ซึ่งเป็นรางวัลระดับโลกสูงสุดของสถาปัตยกรรม ในปี ค.ศ.1983

เหตุผลหนึ่งที่งานสถาปัตยกรรมพิพิธภัณฑ์ของ ไอ.เอ็ม. เพ ประสบความสำเร็จก็เพราะมีความงามที่ดึงดูดใจประชาชน ทั้งในลักษณะเมื่อแรกพบและหลังจากได้เข้าสัมผัสเรียนรู้ดูงานภายในอาคาร ประชาชนจะมีความเพลิดเพลินพอใจในตัวสถาปัตยกรรมพิพิธภัณฑ์เองพอ ๆ กับตัวผลงานศิลป์ที่ติดตั้งไว้ในนั้น

พิพิธภัณฑ์ลูฟ เปิดให้สาธารณะชนเข้าชมได้เมื่อปี พ.ศ. 2336 (ค.ศ. 1793)






สรรพคุณ / ประโยชน์ของผักบุ้ง

ประโยชน์ของผักบุ้ง

- ประโยชน์ของผักบุ้ง

รสและประโยชน์ต่อสุขภาพ :
 รสจืดเย็นช่วยขับพิษถอนพิษเบื่อเมาผักบุ้งขาว 100 กรัม ให้พลังงานต่อร่างกาย 22 กิโลแคลอรี่ประกอบด้วยเส้นใย 101 กรัม แคลเซียม 3 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม เหล็ก 3 มิลลิกรัม วิตามินเอ 11447IU วิตามินบีหนึ่ง 0.06 มิลลิกรัม วิตามินบีสอง 0.17 มิลลิกรัม ไนอาซิน 1.3 มิลลิกรัม วิตามินซี 14 มิลลิกรัม

ประโยชน์ทางอาหาร : 
ผักบุ้งเป็นพืชออกยอดตลอดปีและมีมากในช่วงฤดูฝน การปรุงอาหารคนไทยทุกภาครับประทานผักบุ้งมีการปลูกและการจำหน่ายในท้องตลาดอย่างแพร่หลายในทุกฤดูกาล ผักบุ้งเป็นผักที่ปรุงเป็นอาหารได้หลายชนิดนับตั้งแต่รับประทานยอดอ่อนเป็นผักสดหรืออาจนึ่ง ลวก และราดกะทิแกล้มกับน้ำพริกรับประทานเป็นผักสดกับส้มตำลบก้อยยำและนำยอดอ่อนและใบอ่อนไปปรุงเป็นอาหาร เช่น ผัดจืดใส่หมูปลาไก่ หรือผัดกับน้ำพริกและหมู นอกจากนี้ยังนำไปทำแกง เช่น แกงส้มแกงคั่ว เป็นต้น นอกจากนี้ผักบุ้งสามารถนำไปดองและนำไปปรุงเป็นข้าวผัดคลุกน้ำพริกผักบุ้งดองหรือนำไปเป็นผักแกล้มน้ำพริกเป็นต้น


- สรรพคุณของผักบุ้ง

สรรพคุณทางยา : ผักบุ้งรสเย็นสรรพคุณถอนพิษเบื่อเมา รากผักบุ้งรสจืดเฝื่อนสรรพคุณถอนพิษผิดสำแดง ผักบุ้งขาวหรือผักบุ้งจีนช่วยให้เจริญอาหาร เป็นยาถอนพิษ บำรุงธาตุ สรรพคุณของผักบุ้งโดยเฉพาะผักบุ้งแดงคนที่ชอบเป็นตาต้อ ตาแดง หรือคันนัยน์ตาบ่อย ๆ ตลอดจนมีอาการตาฟ่าฟาง จำพวกคนสายตาสั้นจะทำให้สายตาที่แจ่มใส บำรุงสายตา ทำให้ไม่เป็นโรคกระเพาะ ฯ

10 อันดับ อาหารแพงที่สุดในโลก ..


1. เครื่องเทศแพงที่สุดในโลก - แซฟฟรอน 
แซฟฟรอน เป็นเครื่องเทศที่ได้มาจากเกสรตัวเมีย (สีแดงอมส้ม) ของดอกแซฟฟรอน โครคัส ซึ่งแต่ละดอกจะมีเพียง 3 เกสรเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การที่จะผลิตแซฟฟรอนแห้งให้ได้น้ำหนักเพียง 1 ปอนด์ (0.45 ก.ก.) จะต้องใช้ดอกแซฟฟรอน โครคัส มากถึง 50,000-75,000 ดอก หรือปริมาณมากเท่ากับ 1 สนามฟุตบอลเลยทีเดียว ดอกโครคัส พบได้ในหลายพื้นที่ทั่วโลก อาทิ ประเทศสเปน กรีซ อิหร่าน อินเดีย โมร็อกโก เป็นต้น แต่ประเทศที่ผลิตเครื่องเทศแซฟฟรอนได้มากที่สุดในโลกก็คือ อิหร่าน ซึ่งคิดเป็นส่วนมากถึง 94 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณการผลิตทั่วโลก ประเทศที่นิยมใช้แซฟฟรอนเป็นส่วนประกอบในการปรุงอาหารได้แก่ อิหร่าน และประเทศอาหรับอื่นๆ รวมถึงประเทศในแถบเอเชียกลาง อินเดีย ตุรกี ยุโรป ฯลฯ ราคาขายส่งและขายปลีกของเครื่องเทศชนิดนี้อยู่ที่ระหว่าง 500-5,000 เหรียญสหรัฐต่อหนึ่งปอนด์ (ราว 17,000-170,000 บาท/0.45 ก.ก) หรือ 1,100-11,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 37,400 - 374,000 บาท/ก.ก.) 


2. ถั่วแพงที่สุดในโลก - แมคคาเดเมีย 
ถั่วที่มีราคาแพงที่สุดในโลก คือ ถั่วแมคคาเดเมีย ถั่วชนิดนี้จะให้ผลผลิตต่อเมื่อมีอายุตั้งแต่ 7-10 ปีขึ้นไป ซึ่งการปลูกให้ได้ผลผลิตที่ดีนั้นจะต้องหมั่นคอยดูแลใส่ปุ๋ย และปลูกในที่ๆ มีฝนตกชุก 
ถั่วชนิดนี้เป็นพืชเศรษฐกิจที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน โดยมีถิ่นกำเนิดที่ประเทศออสเตรเลียมากถึง 7 สายพันธุ์ ที่นิว คาเลโดเนีย 1 สายพันธุ์ และ ที่เมืองสุลาเวสี ประเทศอินโดนีเซีย อีก 1 สายพันธุ์ แต่สายพันธุ์ที่มีความสำคัญและมีมูลค่าในเชิงการค้ามากที่สุดมีเพียง 2 สายพันธุ์ คือ Macadamia integrifolia และ Macadamia tetraphylla ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ และควีนสแลนด์ ของประเทศออสเตรเลีย ไร่แมคคาเดเมียที่ปลูกขึ้นเพื่อการค้าเป็นครั้งแรก เกิดขึ้นในช่วงต้นของยุคปี ค.ศ. 1880 (พ.ศ. 2423) ในรัฐนิวเซาธ์ เวลส์ ของประเทศออสเตรเลีย อีก 2 ปีต่อมาได้มีการนำเข้าเมล็ดพันธุ์แมคคาเดเมียจากออสเตรเลียไปทดลองปลูกที่ฮาวาย และเริ่มมีการปลูกแมคคาเดเมียในเชิงการค้าที่นั่นอย่างจริงจังนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 (พ.ศ. 2463) เป็นต้นมา นอกจาก ออสเตรเลีย และฮาวายแล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ปลูกแมคคาเดเมียเป็นพืชเศรษฐกิจอีก ได้แก่แอฟริกาใต้ บราซิล สหรัฐอเมริกา (แคลิฟอร์เนีย) คอสตา ริก้า อิสราเอล เคนย่า โบลิเวีย นิวซีแลนด์ และมาลาวี โดยมีออสเตรเลียเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลก สำหรับราคาขายของถั่วชนิดนี้จะอยู่ที่มากกว่า 30 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (มากกว่า 1 พันบาท/ก.ก.)


3. ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก - เบลูก้า คาเวียร์ 
ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก ไม่ได้มีสีดำอย่างที่หลายท่านคุ้นเคย แต่เป็นชนิดที่มีสีเทาอ่อนๆ ไล่ลงมาจนเกือบขาวตามอายุของปลา ยิ่งปลาอายุมากไข่ก็จะมีสีอ่อนลง และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ 
ไข่ปลาคาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า "เพชร") ที่ได้มาจากปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000 บาท/ก.ก.) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 - 10,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.) ปลา "เบลูก้า สเตอเจี้ยน" มีถิ่นอาศัยอยู่ในทะเลแคสเปียน ซึ่งเป็นทะเลปิดที่อยู่ระหว่างทวีปเอเชียกับทวีปยุโรป อันเป็นพรมแดนของประเทศรัสเซีย อาเซอร์ไบจาน อิหร่าน เติร์กเมนิสถาน และประเทศคาซัคสถาน บางครั้งอาจพบปลาดังกล่าวอาศัยอยู่ในแถบทะเลดำ นานๆ ครั้งจึงโผล่ให้เห็นบ้างในทะเลอาเดรียติก ปลาชนิดนี้จะถือว่าโตเต็มที่พร้อมให้ผลผลิต (ไข่) เมื่อมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป 


4. เห็ดแพงที่สุดในโลก - ทรัฟเฟิลขาว 
เห็ดที่มีราคาแพงที่สุดในโลกคือ เห็ดทรัฟเฟิลขาว ซึ่งมีถิ่นกำเนิดในแถบ Langhe แห่งแคว้นปีเอมอนเต ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี ในอดีตคนเก็บเห็ดทรัฟเฟิลจะใช้หมูช่วยดมกลิ่นค้นหา แต่ระยะหลังๆ มักนิยมใช้สุนัขมากกว่า เพราะสุนัขจะไม่กินเห็ดเหมือนหมู เห็ดชนิดนี้มีราคาขายสูงถึง 1,700 - 3,800 ยูโร ต่อ 1 ก.ก. (ราว 82,000 - 183,502 บาท/ก.ก) เมื่อปลายปีที่ผ่านมา เห็ดทรัฟเฟิลสีขาว น้ำหนัก 1.08 กก. จากอิตาลี ถูกนายสแตนลีย์ โฮ มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจคาสิโนในมาเก๊า ประมูลไปในราคาสูงถึง 200,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.8 ล้านบาท แต่สถิติเห็ดทรัฟเฟิลขาวราคาสูงสุดที่มีการบันทึกไว้ คือ 330,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11 ล้านบาท ซึ่งนายสแตนลีย์ โฮ เจ้าเก่า เป็นผู้ชนะประมูลเมื่อปี ค.ศ. 2007


5. มันฝรั่งแพงที่สุดในโลก - La Bonnotte 
มันฝรั่งราคาแพงที่สุดในโลก คือ "La Bonnotte" ปลูกได้เฉพาะบนเกาะนีวร์มูทีเยของประเทศ ฝรั่งเศสเท่านั้น แถมปีหนึ่งๆ ยังเก็บเกี่ยวได้เพียง 10 วัน ทั้งยังบอบบางมากเสียจนต้องใช้มือถอน และให้ผลผลิตเพียงปีละ 20,000 ก.ก. ด้วยเหตุนี้มันฝรั่งที่ว่าจึงมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละกว่า 2.3 หมื่นบาทเลยทีเดียว


6. เนื้อแพงที่สุดในโลก - เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น 
เนื้อแพงที่สุดในโลก คือ เนื้อที่มาจากวัววากิว (Wagyu) ประเทศญี่ปุ่น วัววากิวถือเป็นวัวพื้นเมืองที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ด้วยกัน ชาวญี่ปุ่นจะเลี้ยงดูวัวเหล่านี้อย่างดีเป็นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นการให้หญ้าพันธุ์ดี ธัญพีช ฟาร์มบางแห่งถึงขนาดมีการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้วัว หรือไม่ก็ผสมสาเก หรือเบียร์ ลงไปในอาหาร เนื้อวัวหลายชนิดที่คนรักเนื้อในบ้านเรารู้จักกันดีอย่างเช่น เนื้อโกเบ และมัตสึซากะ ฯลฯ ก็มาจากวัววากิวเช่นกัน แต่สาเหตุที่เรียกชื่อต่างกันเป็นเพราะว่าเลี้ยงกันคนละเมือง (เนื้อโกเบ มาจากฟาร์มในเมืองโกเบ ส่วนเนื้อมัตสึซากะมาจากฟาร์มในเมือง มัตสึซากะ เป็นต้น) เนื้อจากวัววากิวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง และไขมันต่ำ รสชาติอร่อย นุ่มลิ้น ราวกับละลายในปาก จึงมีราคาสูงมาก - ที่ยุโรปเนื้อจากวัววากิวน้ำหนักประมาณ 200 กรัม มีราคาขายสูงกว่า 34,000 บาท 


7. แซนด์วิชแพงที่สุดในโลก - คลับแซนด์วิช "von Essen Platinum" 
นี่คือโฉมหน้าแซนด์วิช "แพงที่สุดในโลก" ฝีมือนายเจมส์ พาร์คินสัน หัวหน้าเชฟของโรงแรมหรู 
"von Essen" ในเมืองเบิร์กเชียร์ ประเทศอังกฤษ หลังจากสังเกตุส่วนผสมของแซนด์วิชในโรงแรมหรูห้าดาวทั่วโลกที่เขาได้มีโอกาสไปเยี่ยมเยียน เขาจึงคิดรวบรวมส่วนผสมที่ดีที่สุดของแซนด์วิชในแต่ละโรงแรมมาไว้ในอันเดียวกัน ด้วยเหตุนี้ "von Essen Platinum Club Sandwich" ของเขาจึงกลายเป็นคลับแซนด์วิชแพงที่สุดในโลก ซึ่งมีทั้งหมด 3 ชั้น ประกอบด้วยส่วนผสมหลักคือ เนื้อไก่อย่างดี (พันธุ์ poulet de Bresse ของฝรั่งเศส) แฮม Iberian ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นแฮมหายากคุณภาพเยี่ยมจากประเทศสเปน เห็ดทรัฟเฟิลขาวและมะเขือเทศจากประเทศอิตาลี ไข่นกกระทาต้มสุก และขนมปังที่ผลิตจากแป้งชนิดพิเศษ แซนด์วิช "von Essen Platinum" ของเชฟพาร์คินสัน จำหน่ายในราคาอันละ 100 ปอนด์ หรือกว่า 5.5 พันบาท ถ้าใครอยากลองทานว่าจะเด็ดสักแค่ไหน ก็ไปพิสูจน์ได้ที่ภัตตาคาร "Cliveden's Waldo" ของโรงแรม "von Essen" 


8. พิซซ่าแพงที่สุดในโลก - พิซซ่า Luis XIII 
พิซซ่าที่แพงสุดในโลก คือ พิซซ่า "Louis XIII" ฝีมือเชฟหนุ่มชาวอิตาลีที่ชื่อ "เรนาโต้ วิโอล่า" 
พิซซ่า "Louis XIII" มีขนาด 8 นิ้ว ก่อนทำต้องใช้เวลาในการเตรียมแป้งเป็นเวลานานถึง 72 ช.ม. ขณะที่ท็อปปิ้งหรือหน้าพิซซ่าล้วนมาจากส่วนผสมคุณภาพเยี่ยม อาทิ ชีส mozzarella di bufala ไข่ปลาคาเวียร์ 3 ชนิด กุ้งล็อบสเตอร์จาก Cilento (ในอิตาลี) และประเทศนอร์เวย์ โรยหน้าด้วยเกลือสีชมพูที่มาจากแม่น้ำ Murray ในประเทศออสเตรเลีย ฯลฯ 
พิซซ่าแพงสุดในโลก "Louis XIII" จำหน่ายในราคาอันละ 8,300 ยูโร หรือเกือบ 4 แสนบาท (ราคานี้รวมค่าตัวเชฟและผู้ช่วยอีก 2 คน ที่จะหอบข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆ ไปทำพิซซ่าถึงบ้านลูกค้า)


9. ออมเล็ตแพงที่สุดในโลก - ออมเล็ตของภัตตาคาร Le Parker Meridien ในกรุงนิวยอร์ค 
"ออมเล็ต" หรือไข่คน แพงที่สุดในโลกหารับประทานได้ที่ภัตตาคาร "Le Parker Meridien" ในกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา 
ที่นั่นเขาขายออมเล็ต (ภาพบน) จานละ 1,000 เหรียญ หรือประมาณ 34,000 บาท ประกอบด้วยส่วนผสมหลัก ได้แก่ ไข่ปลาคาเวียร์ (sevruga) น้ำหนัก 10 ออนซ์ กุ้งล็อบสเตอร์ทั้งตัว และไข่อีก 6 ฟอง เป็นต้น (เขาว่าถ้านำส่วนผสมทั้งหมด มาทำเองที่บ้าน ค่าใช้จ่ายจะอยู่ที่ราวๆ 700 เหรียญ หรือประมาณ 23,800 บาท)


10. ขนมหวานแพงที่สุดในโลก - ไอศครีม ซันเด ของร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน 
ไอศครีมช็อคโกแลตซันเด ถ้วยนี้ ได้รับการจดบันทึกลงในกินเนสบุ้ค ออฟ เวิล์ด เรคคอร์ด ว่าเป็น "ขนมหวานแพงที่สุดในโลก" มีจำหน่ายที่ร้าน Serendipity 3 ในแมนฮัตตัน กลางกรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ด้วยสนนราคาถ้วยละ 25,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 850,000 บาท 
"Frrrozen Haute Chocolate" คือ ชื่อของช็อคโกแลต ซันเดแพงระยับถ้วยนี้ ส่วนสาเหตุที่มีราคาแพงเนื่องมาจากไอศครีมมีส่วนผสมของโกโก้พันธุ์ดีและหายากมากๆ จำนวน 28 ผล (ในจำนวนนี้มีอยู่ 14 ผลที่เป็นโกโก้ชนิดแพงที่สุด) และทองคำ 23 เค ชนิดทานได้ น้ำหนัก 5 กรัม ไอศครีมดังกล่าวจะถูกบรรจุลงในถ้วยทองคำ ที่มีแผ่นทองคำชนิดทานได้รองอยู่ภายในถ้วย นอกจากนี้บริเวณฐานของถ้วยไอศครีมยังตกแต่งด้วยสร้อยทอง 18 เค พร้อมกับเพชรแท้สีขาวอีก 1 กะรัต เท่านั้นยังไม่พอ ไอศรีมถ้วยนี้ยังถูกแต่งหน้าด้วยวิปครีม โรยทับอีกชั้นด้วยทองคำ ประดับด้วยช็อคโกแลต "La Madeline au Truffle"จากร้าน Knipschildt Chocolatier ที่ขายในราคาปอนด์ละ 2,500 เหรียญ (85,000 บาท/0.45 กก.) สำหรับช้อนทองที่เห็นในภาพว่าประดับด้วยเพชรสีขาวและสีช็อคโกแลต ลูกค้าสามารถนำกลับไปดูเล่นที่บ้านได้ ... แต่ถ้วยและสร้อยทองคล้องเพชร 1 กะรัตห้ามเอาไป ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้ออกจากร้านแน่นอน

9 สถานที่ดั่งเทพนิยายที่มีอยู่จริง ..

1. Socrota Island - เยเมน




Socotra หนึ่งในสถานที่ที่ห่างไกลที่สุดในโลก อยู่ในทะเลอาระเบียประมาณ 150 ไมล์ของแอฟริกา เกาะเป็นที่รู้จักของชาวอียิปต์โบราณ และมาร์โคโปโลก็เป็นผู้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับที่นี่  อย่างไรก็ตามที่นี่ยังคงสภาพเดิมอยู่ และมีประชากรเพียง 80,000 คน อีกทั้งยังไม่มีถนนลาดยางจนกระทั่งถึงปี 2007



นอกจากถ้ำ เกาะที่แปลกประหลาด และน้ำทะเลที่สวยงามแล้ว ความแห้งแล้งบนเกาะยังทำให้เกิดพืชพันธุ์ที่มีรูปทรงคล้ายมาจากต่างดาว มีงานวิจัยแสดงให้เห็นว่าประมาณ 33% ของพืชเหล่านี้ไม่สามารถพบได้ที่ใดในโลก และหนึ่งในสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุด นับว่าเป็นสัญลักษณ์ของเกาะ Socrota ก็คือต้น Dragon Blood ที่มีรูปทรงเป็นร่มนั่นเอง

2. The Doorway to Hell - เติร์กเมนิสถาน



หลุมไฟแปลกประหลาดนี้มีชื่อเรียกว่า Door to Hell (ประตูสู่นรก) ตั้งอยู่กลางทะเลทราย Karakum มองเผินๆด้านหลังนั้นมันเหมือนประตูอันมืดมิดของมอร์ดอร์ (Mordor) ทั้งที่แท้จริงแล้วมันเป็นหลุมไฟที่เกิดขึ้นด้วยน้ำมือของนักธรณีวิทยาในปี 1971 และนับแต่นั้นก็เกิดการเผาไหม้มาตลอด...โดยนักวิทยาศาสตร์ของสหภาพโซเวียตค้นพบ และเชื่อว่ามีแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ จึงตั้งขึ้นแท่นขุดเจาะเพื่อแสวงหาก๊าซ แต่นั่นมันเป็นสิ่งที่ผิดพลาดอย่างมหันต์



พื้นดินทรุดตัวลงและแท่นขุดเจาะหายเข้าไปในปากปล่องภูเขาไฟกว้าง แต่ไม่มีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณของก๊าซมีเทนได้กระจายตัวออกมาสร้างความเสี่ยงอย่างมากให้กับสภาพแวดล้อม และหมู่บ้านใกล้เคียง ในขณะที่พยายามจะระงับสถานการณ์ นักวิทยาศาสตร์จึงตัดสินใจปล่อยก๊าซมีเทนไปในหลุมไฟด้วยเชื่อว่ามันจะเผาไหม้ภายในไม่กี่วันเท่านั้น แต่ที่สุดแล้วกว่า 40 ปีต่อมามันก็ยังคงลุกไหม้อยู่เช่นนั้น...กลายเป็นประตูสู่นรกที่สร้างความตื่นตะลึงท่ามกลางทะเลทราย

3. Hobbiton - นิวซีแลนด์



เมื่อพูดถึง Lord of the Rings คุณจะไม่พูดถึงฮ็อบบิทเป็นไปไม่ได้เลย...Matamata เมืองเล็กๆในนิวซีแลนด์เป็นโลเคชั่นสำหรับ Lord of the Rings ทั้ง 3 ภาค และทางรัฐบาลนิวซีแลนด์ได้ตัดสินใจให้หมู่บ้านฮ็อบบิทแห่งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ





4. Cano Crystales แม่น้ำที่สวยงามที่สุดในโลก - โคลัมเบีย



ลึกเข้าไปในป่าของโคลัมเบียจะมีแม่น้ำสายเก่าแห่งหนึ่งที่ดูเหมือนแม่น้ำธรรมดาๆ หากแต่ในความเป็นจริงสามารถข้ามแม่น้ำสายนี้ได้หลายร้อยครั้งต่อปี อย่างไรก็ตามถ้าเป็นช่วงฤดูฝนและฤดูแล้งจะเกิดปรากฎการณ์ประหลาดที่ทำให้อาจจะตะลึงจนขากรรไกรค้างได้เลยว่า นี่ไม่ใช่ฝันไปใช่มั้ย นี่มันไม่ใช่ภาพหลอนใช่มั้ย



ปรากฏการณ์แปลกประหลาดนี้เกิดขึ้นโดยสาหร่ายหลากสีสันที่อยู่ด้านล่างของแม่น้ำพากันพลิ้วไสวอย่างสวยงาม ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ทางชีวภาพที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้ Cano Crystales ถูกขนานนามว่า "แม่น้ำห้าสี", "แม่น้ำแห่งสรวงสวรรค์" และ "แม่น้ำที่สวยที่สุดในโลก"

5. Igloo Village - ฟินแลนด์



Igloo Village มีเอกลักษณ์อยู่ที่เพดานกระจก และยิ่งตอนที่หิมะตกจะเป็นหนึ่งในความมหัศจรรย์มากที่สุดของรีสอร์ทในโลกนี้ ผู้เข้าพักจะได้สัมผัสกับความสงบสุขในการนอนหลับบนเตียงอันแสนอบอุ่นท่ามกลางหิมะ





รูปนี้ถ่ายใน แลพแลนด์ (Lapland) ประเทศฟินแลนด์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่ามีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง ต้นไม้ใบหญ้าถูกปกคลุมไปด้วยเกร็ดน้ำแข็ง และมีเสียงร่ำลือถึงความน่าสะพรึงกลัวว่า มีคนถูกแช่แข็งอยู่ใต้กองเกร็ดน้ำแข็งนั้นด้วย

6. Neuschwanstein ปราสาทซินเดอเรลล่า - เยอรมัน



พระราชวังสมัยศตวรรษที่ 19 ตั้งอยู่บนเนินเขาขรุขระทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของบาวาเรีย ประเทศเยอรมัน มีลักษณะเหมือนปราสาทในเทพนิยาย พระราชวังแห่งนี้เปิดให้ประชาชนเข้าชม และเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์หลายต่อหลายเรื่อง และแม้จะเป็นปราสาทยุคกลางของลุดวิก (Ludwig) แต่ก็มีเทคโนโลยีทันสมัย ทั้งห้องน้ำแสนสะอาด มีน้ำร้อน น้ำเย็น

7. The Temple Cave - เกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซีย



เกาะบอร์เนียวเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นสถานที่สุดอะเมซิ่ง และมีถ้ำหินปูนขนาดใหญ่ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ ถ้ำบาตู (Batu Cave) ตั้งชื่อตามแม่น้ำบาตูที่ไหลผ่านเนินเขา หากเดินไปจนถึงใจกลางของภูเขา จะได้พบกับวิหารสุดลึกลับของวัดฮินดู ที่ดูเหมือนว่าจะหลุดออกมาจากภาพยนตร์เรื่องอินเดียน่าโจนส์เลยล่ะ



8. The Crooked Forrest - โปแลนด์



เมืองใน New Czarnowa ประเทศโปแลนด์ ป่าสุดแสนประหลาดที่เต็มไปด้วยต้นสนขนาดใหญ่ที่มีส่วนล่างของลำต้นโค้งเข้าด้านใน ลำต้นของต้นสนเหล่านี้จะเริ่มโค้งเข้าก่อนที่มันจะเติบโตขึ้นตามปกติ นอกจากนี้ยังมีความลี้ลับบางอย่างที่ทำให้ไม่อยากจะติดอยู่ในป่าแห่งนี้ยามค่ำคืนอีกด้ว

9. Majlis al Jinn, the Cave of Wonders - โอมาน



Majlis al Jinn ถ้ำอาละดินที่สามารถเห็นได้จริง สุดแสนมหัศจรรย์กับถ้ำที่แบ่งออกเป็นสองห้องใหญ่ที่สุดในโลก และสามารถผ่านเข้าไปในช่องเล็กๆได้ หรือจะหากจะท้าทายความกลัวในใจด้วยการห้อยตัวลงมาในความสูงประมาณ 150 เมตร ก็วัดใจกันได้เลย

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ทิวลิป (Tulip)



ทิวลิป เป็นดอกไม้เมืองหนาวที่มีถิ่นกำเนิดในทวีปยุโรป เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของฮอลแลนด์ มีอยู่หลายสี ดอกทิวลิปจะปลูกได้ต้องใช้อุณหภูมิที่เหมาะสม คือไม่เกิน 25 องศาเซลเซียส
         แม้ว่าทิวลิปจะเป็นดอกไม้ที่ทำให้นึกถึงฮอลแลนด์ แต่ทั้งดอกไม้และชื่อมีที่มาจากจักรวรรดิเปอร์เชีย ทิวลิปหรือ “lale” (จากเปอร์เชีย “lâleh”) เช่นเดียวกับที่เรียกกันในตุรกี เป็นดอกไม้ท้องถิ่นของตุรกี, อิหร่าน, อัฟกานิสถาน และบางส่วนของเอเชียกลาง แม้ว่าจะไม่ทราบว่าผู้ใดเป็นผู้นำทิวลิปเข้ามาทางตะวันตกเฉียงเหนือของยุโรปแต่ที่สำคัญคือตุรกีเป็นผู้ทำให้ทิวลิปมีชื่อเสียงที่นั่น เรื่องที่เป็นที่ยอมรับกันก็คือ Oghier Ghislain de Busbecq ไปเป็นราชทูตของสมเด็จพระจักรพรรดิเฟอร์ดินานด์ที่ 1 แห่งโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในราชสำนักของสุลต่านสุลัยมานมหาราชแห่งจักรวรรดิออตโตมันในปี ค.ศ. 1554 Busbecq บรรยายในจดหมายถึงดอกไม้ต่างๆ ที่เห็นที่รวมทั้งนาร์ซิสซัส ดอกไฮยาซินธ์ และทิวลิปที่ดูเหมือนจะบานในฤดูหนาวที่ดูเหมือนผิดฤดู (ดู Busbecq, qtd. in Blunt, 7) ในวรรณคดีเปอร์เชียทั้งสมัยโบราณและสมัยใหม่ต่างก็ให้ความสนใจกับดอกไม้ชนิดนี้
         คำว่า “tulip” ที่ในภาษาอังกฤษสมัยแรกเขียนเป็น “tulipa” หรือ “tulipant” เข้ามาในภาษาอังกฤษจากฝรั่งเศสที่แผลงมาจากคำว่า “tulipe” และจากคำโบราณว่า “tulipan” หรือจากภาษาลาตินสมัยใหม่ “tulīpa” ที่มาจากภาษาตุรกี “tülbend” หรือ “ผ้ามัสลิน” (ภาษาอังกฤษว่า “turban” (ผ้าโพกหัว) บันทึกเป็นครั้งแรกในภาษาอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 16 และอาจจะมาจากภาษาตุรกีอีกคำหนึ่งว่า “tülbend” ก็เป็นได้)

เทศกาลปามะเขือเทศของสเปน (La Tomatina en España)



เมื่อพูดถึงประเทศสเปน ที่เลื่องชื่ออีกอย่างหนึ่งของประเทศนี้ คือ การจัดเทศกาลและงานเฉลิมฉลองต่าง ๆ ซึ่งมีหลากหลายตลอดปี และเป็นที่น่าตื่นตาตื่นใจไปซะหมด ดูกี่รอบ ๆ ก็ไม่เบื่อ ส่วนมากแล้ว งานฉลองต่าง ๆ หรือที่เรียกกันในภาษาสเปนว่า La fiesta ลา เฟียซต้า นั้น จะจัดฉลองกันเพื่อประเทศชาติ และคนในประเทศ แต่ก็มีบางงาน ที่เล่นกันในเฉพาะเมือง เพราะว่าแต่ละเมืองของสเปน มีที่มาที่ไปไม่เหมือนกัน ถ้าใครไปสเปน ไม่ว่าจะช่วงไหนของปี ก็จะมีงานฉลอง หรืองานเทศกาลให้ดูกันทั้งปีเลย มันต้องมีที่ไหนซักแห่งในสเปนล่ะน่า 
เทศกาลที่มีชื่อเสียงอันหนึ่งของสเปน แม้แต่คนไทยยังรู้จักกัน เพราะความแปลก คือ เทศกาลปามะเขือเทศ หรือ เรียกว่า La Tomatina ลา โตมาติ๊หน่า ในภาษาสเปน ซึ่งเฉลิมฉลอง เริ่มปามะเขือเทศใส่หัวกัน ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคมของทุกปี ที่เฉพาะเมือง บุนโยล (Bunyol) ทางภาคตะวันออกของสเปน ซึ่งอยู่ห่างจากบาเลนเซียไป 30 กิโลเมตร เทศกาลปามะเขือเทศนี้ ดุเดือด เข้มข้น ด้วย ศึกปามะเขือเทศ” ซึ่งจะจัดขึ้นในวันพุธของสัปดาห์นั้น ชื่อก็บอก ว่าเป็นศึกปามะเขือเทศ ดังนั้น คนที่มาร่วมงานเทศกาลนี้ ทั้งชาวเมืองเอง และผู้มาเยือน ต่างก็ปามะเขือเทศใส่กันอย่างสนุกสนาน 
ในแต่ละปี ลา โตมาติ๊นา ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าประเทศสเปนเป็นจำนวนมาก แล้วก็มีคนมาร่วมมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็เลยต้องมีการตั้งกฎกติการกันซักหน่อย เพื่อความปลอดภัยและเพื่อรักษาประเพณีอันดีงามไว้ กฎก็มีอยู่ดังนี้
ไม่ปาขวดหรือของแข็งใส่กัน 
ห้ามฉีกเสื้อยืดกัน
ต้องทุบมะเขือเทศให้น่วม ก่อนมาปาใส่กัน
ระวังรถบรรทุกที่บรรทุกมะเขือเทศมาด้วย เด๋วรถเหยียบเอา
เมื่อเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้น ให้หยุดปามะเขือเทศทันที 

นอกจากนี้ ก่อนและหลังวันพุธซึ่งเป็นวันทำศึก ก็จะมีการจัดงานเฉลิมฉลองกัน ส่วนช่วงเวลาเด็ดสุดในเทศกาลนี้ คือช่วงตี ถึงช่วงบ่ายโมงของวันพุธ 
ส่วนประวัติของการทำศึกปามะเขือเทศ ก็มีอยู่สองกระแส กระแสแรกบอกว่า ครั้งหนึ่ง มีกลุ่มคนเกิดอยากจะแกล้งคนที่กำลังเดินถนนอยู่ในเมืองโดยร้องเพลงและเล่นดนตรีไปด้วย แต่เขาร้องเพลงและเล่นดนตรีประกอบได้ห่วยมาก ๆ คนในเมืองเลยตัดสินใจว่าน่าจะหาอะไรปาใส่มันซะหน่อย หันไปหันมา เจอมะเขือเทศ เออ ก็เอามะเขือเทศนี่ละว้า ปาใส่เจ้านักร้องเสียงหลง แถมยังปาผักและผลไม้อื่นๆ ใส่ไปด้วย แล้วก็มีคนมาช่วยปาเยอะขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้าย กลายเป็นศึกปามะเขือเทศใส่กันเองไป

ส่วนอีกกระแสหนึ่ง ซึ่งน่าเชื่อถือมากที่สุด บอกว่า เริ่มจากในปี ค.ศ. 1945 บริเวณทาวน์ สแควร์ ที่จัดศึกปามะเขือเทศในปัจจุบัน นั้นมีคนหนุ่มสาว พากันมาดูขบวนพาเหรด "Gigantes y Cabezudos" กิอ๊านเต่ส อี ก่าเบ๊ซูโดส ซึ่งเป็นขบวนพาเหรดที่โชว์ยักษ์แบบต่าง ๆ ที่มีหัวโคตรน่าเกลียด แล้วหนุ่มสาวกลุ่มนั้น ได้เข้ามาร่วมในวงดุริยางค์ในขบวนพาเหรด แล้วก็ไปผลักคนที่แต่งตัวเป็นยักษ์หัวหน้าเกลียดในขบวนเข้า เจ้ายักษ์ตัวหนึ่งล้มลง พอลุกขึ้น ก็ชกต่อยทุกคนรอบ ๆ ทีนี้ทุกคนเลยต่อสู้กันนัวเนียไปหมด พอดีมีแผงขายผลไม้อยู่ข้างทาง พวกหนุ่มสาวเหล่านั้น เลยไปคว้ามะเขือเทศมาปาใส่กัน จนกระทั่งตำรวจต้องเข้ามายุติศึกในครั้งนั้น แต่พวกในขบวนก็ยังไม่หายแค้น เพราะต้องเป็นคนจ่ายค่าเสียหายทั้งหมดด้วย 
พอปีต่อมา เป็นวันพุธเดิม ในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนสิงหาคม พวกหนุ่มสาวจอมซ่าส์ก็มาเจอกับพวกในขบวนพาเหรดอีกครั้ง คราวนี้ ขนมะเขือเทศกันมาเอง แล้วก็เริ่มทำศึกกันในวันนั้นเอง แต่ก็มีตำรวจมายุติศึกจนได้ ส่วนในปีหลังจากนั้น ทางการได้สั่งห้ามการทำศึกมะเขือเทศ ซึ่งได้กลายมาเป็น วันทำศึกมะเขือเทศ ”โดยปริยาย แต่กระนั้น ผู้คนก็เริ่มฉลองวันทำศึกดังกล่าว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ซึ่งในแต่ละปี มีคนมาร่วมงานประมาณ 10,000 คนเลยเชียว