วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2557

ล่าแม่มดในยุโรป..



เมื่อไม่กี่ร้อยปีมานี้ ความกลัวเรื่องเวทมนตร์เป็นสาเหตุที่ทำให้มีการไล่ล่าและสังหารแม่มดทั่วทั้งยุโรป นับตั้งแต่ฝรั่งเศส เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ ทางเหนือของอิตาลี และประเทศที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล เช่น เบลเยียม ลักเซมเบิร์ก และเนเธอร์แลนด์ หนังสือล่าแม่มดในโลกตะวันตก 

 * (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “คนนับพันนับหมื่นในยุโรปและอาณานิคมของชาวยุโรปต้องตาย” และ “คนอีกนับล้าน ๆ อยู่ด้วยความหวาดกลัว ถูกรังเกียจ ถูกใส่ร้ายป้ายสี ถูกจับกุม ถูกสอบสวน หรือถูกทรมาน” ความหวาดกลัวนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? อะไรทำให้เรื่องนี้ลุกลามบานปลาย?

ศาลศาสนาและคู่มือการล่าแม่มด

สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้คือศาลศาสนา หนังสือเล่มหนึ่ง (Der Hexenwahn) อธิบายว่า คริสตจักรโรมันคาทอลิกได้ตั้งศาลศาสนาขึ้นในศตวรรษที่ 13 “เพื่อดึงคนที่ตีตัวออกห่างจากคริสตจักรกลับมา และป้องกันไม่ให้คนอื่นออกไป”
ในวันที่ 5 ธันวาคม ค.ศ. 1484 โปปอินโนเซนต์ที่ 8 ได้ออกเอกสารหรือสารตราฉบับหนึ่งซึ่งกล่าวว่าการใช้เวทมนตร์เป็นความผิดร้ายแรง เขายังได้มอบอำนาจให้ผู้สอบสวนสองคนไปสะสางปัญหานี้ ซึ่งก็คือจาคอบ สเปรนเกอร์และไฮน์ริช เครเมอร์ (ชื่อภาษาละตินคือเฮนริคุส อินสทิทอริส) จากนั้นชายสองคนนี้ได้ทำหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาชื่อมาเลอัส มาเลฟิคารัม ซึ่งก็คือคู่มือการล่าแม่มด (The Hammer of Witches) ทั้งพวกคาทอลิกและโปรเตสแตนต์พร้อมใจกันขานรับหนังสือเล่มนี้เพราะถือเป็นอำนาจเด็ดขาดในการปราบปรามพวกแม่มด คู่มือเล่มนี้มีเรื่องที่แต่งขึ้นตามจินตนาการเกี่ยวกับแม่มดโดยอิงนิทานพื้นบ้านเป็นหลัก และยกสารพัดเหตุผลทั้งทางศาสนาและกฎหมายขึ้นมาต่อต้านพวกที่ใช้เวทมนตร์ ทั้งยังบอกวิธีสังเกตดูว่าคนไหนเป็นแม่มดและวิธีปราบพวกแม่มด กล่าวกันว่าคู่มือการ ล่าแม่มด เล่มนี้เป็น “หนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดและ . . . อันตรายที่สุดในบรรดาหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่บนโลก”
คู่มือการล่าแม่มด ถูกเรียกว่า “หนังสือที่ชั่วร้ายที่สุดและ . . . อันตรายที่สุดในบรรดาหนังสือทุกเล่มที่มีอยู่บนโลก”
ข้อกล่าวหาเรื่องการใช้เวทมนตร์ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานว่ามีความผิด ดังที่หนังสือเล่มหนึ่ง (Hexen und Hexenprozesse) กล่าวว่า การพิจารณาคดีต่าง ๆ มีจุดประสงค์ “เพียงเพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหายอมรับสารภาพโดยใช้วิธีเกลี้ยกล่อม กดดัน หรือถึงกับบีบบังคับ” การทรมานผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
สารที่ออกโดยโปปอินโนเซนต์ที่ 8 และคู่มือการล่าแม่มด เล่มนี้ส่งผลให้เกิดการกวาดล้างแม่มดครั้งใหญ่ในยุโรป นอกจากนั้น การใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และการพิมพ์ยังช่วยกระพือความบ้าคลั่งในการล่าแม่มดให้ไปไกลถึงทวีปแอตแลนติกและอเมริกาด้วย

ใครเป็นผู้ต้องสงสัย?

มากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ต้องสงสัยเป็นผู้หญิง โดยเฉพาะพวกแม่ม่ายที่มักไม่มีใครคอยปกป้องคุ้มครอง คนที่ตกเป็นเหยื่อรวมถึงคนยากจน คนเฒ่าคนแก่ และพวกผู้หญิงที่ใช้สมุนไพรรักษาโรคให้คนอื่นแต่กลับไม่ได้ผล ไม่ว่าจะยากดีมีจน ชายหรือหญิง คนสูงศักดิ์หรือคนต่ำต้อยก็มีโอกาสตกเป็นผู้ต้องสงสัยด้วยกันทั้งนั้น
ผู้ถูกสงสัยว่าเป็นแม่มดจะถูกกล่าวหาว่าใช้เวทมนตร์ทำสิ่งชั่วสารพัด วารสารดามาลส์ ในเยอรมนีบอกว่า พวกแม่มด “ทำให้เกิดน้ำค้างแข็ง หรือร่ายมนตร์เรียกหอยทากและหนอนบุ้งมากัดกินพืชผักผลไม้บนโลกจนเสียหายย่อยยับ” และถ้าลูกเห็บตกจนทำให้พืชผลเสียหาย วัวไม่มีน้ำนมให้รีด ผู้ชายไร้สมรรถภาพทางเพศ และผู้หญิงเป็นหมัน พวกแม่มดก็ต้องเจอข้อหาไปเต็ม ๆ!







แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าใครเป็นแม่มด? ผู้ต้องสงสัยบางคนจะถูกมัดมือมัดเท้าและจับถ่วงในบ่อน้ำ “ศักดิ์สิทธิ์” ที่เย็นจัด ถ้าเขาจมก็แสดงว่าเป็นผู้บริสุทธิ์และจะถูกดึงขึ้นมา แต่ถ้าลอยก็จะถูกตัดสินว่าเป็นแม่มดและถูกประหารที่นั่นหรือถูกส่งไปทรมาน ส่วนผู้ต้องสงสัยคนอื่น ๆ จะถูกนำไปชั่งน้ำหนัก เนื่องจากมีความเชื่อว่าแม่มดจะตัวเบามาก ๆ หรือไม่มีน้ำหนักเลย
วิธีตรวจสอบอีกวิธีหนึ่งตามที่หนังสือล่าแม่มดในโลกตะวันตกกล่าวไว้คือ การตรวจหา “รอยปิศาจ” ซึ่งเป็น “รอยที่ปิศาจทิ้งไว้แทนคำสัญญาที่ให้ไว้กับแม่มด” เจ้าหน้าที่จะหารอยปิศาจนี้โดยโกนผมและขนทุกเส้นบนร่างกายของผู้ต้องสงสัย จากนั้นก็ตรวจร่างกายอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมต่อหน้าผู้คนในที่สาธารณะ! พวกเขาจะเอาเข็มแทงตามจุดต่าง ๆ เช่น หูด ไฝ ปาน และรอยแผลเป็น ถ้าแทงแล้วไม่เจ็บหรือเลือดไม่ออก แสดงว่าจุดนั้นเป็นรอยปิศาจสัญลักษณ์แห่งซาตาน
รัฐบาลต่าง ๆ ทั้งที่เป็นคาทอลิกและโปรเตสแตนต์สนับสนุนการล่าแม่มด แต่พวกผู้ปกครองบางเขตของโปรเตสแตนต์กลับโหดร้ายยิ่งกว่าพวกคาทอลิกเสียอีก แต่ในเวลาต่อมา เหตุผลก็มีชัยชนะเหนือความกลัวแบบผิด ๆ เช่น ในปี ค.ศ. 1631 ฟริดริค ชเพ บาทหลวงนิกายเยซูอิตซึ่งเคยมีส่วนร่วมในการจับหลายคน “ที่ถูกตัดสินว่าเป็นแม่มด” ไปเผาทั้งเป็นบนเสา ได้เขียนไว้ว่าตามความคิดของเขาแล้วคนพวกนั้นไม่มีความผิดอะไรเลย และถ้าการล่าแม่มดอย่างดุเดือดยังมีต่อไปเรื่อย ๆ เขาเตือนว่าแผ่นดินจะร้างเปล่าไร้ผู้คน! ในขณะเดียวกันแพทย์ก็เริ่มเข้าใจว่าอาการต่าง ๆ เช่น อาการชัก ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถูกผีสิงแต่เป็นปัญหาทางสุขภาพ นี่ทำให้การล่าแม่มดลดลงอย่างฮวบฮาบในช่วงศตวรรษที่ 17 และพอสิ้นศตวรรษนี้ก็ไม่มีการล่าแม่มดอีกเลย
เราได้เรียนรู้อะไรจากยุคที่น่าเกลียดน่ากลัวนี้? จุดสำคัญคือ เมื่อพวกที่อ้างตัวว่าเป็นคริสเตียนเริ่มนำเอาเรื่องโกหกต่าง ๆ ทางศาสนาและเรื่องเวทมนตร์คาถาเข้ามาแทนคำสอนอันบริสุทธิ์ของพระเยซูคริสต์ พวกเขากำลังเปิดประตูให้กับความชั่วช้ามากมาย คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าว่าคนที่ไม่ซื่อสัตย์จะทำให้ศาสนาคริสเตียนถูกตำหนิ และเตือนว่า “ทางของความจริงจะถูกกล่าวร้าย”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น